
จากกรณีข่าว “สธ.สั่งรถพยาบาล ห้ามใช้ความเร็วเกิน 80 กม. ห้ามฝ่าไฟแดง ทุกกรณี !!” ทำให้ประชาชนและบุคลากรบางส่วนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และมีความเป็นห่วงว่าผู้ป่วยอาจได้รับการดูแลรักษาล่าช้า
นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงต่อสื่อมวลชนถึงประเด็นดังกล่าว ว่าจากข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุรถพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขขณะปฏิบัติการนำส่งผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วย ญาติ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการขับรถเร็ว ฝ่าสัญญาณไฟจราจร ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
ข้อมูลปี 59 – 62 เกิดอุบัติเหตุ 110 ครั้ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 318 ราย เป็นพยาบาลและบุคลากรในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน 129 ราย เสียชีวิต 4 ราย พิการ 2 ราย ผู้ป่วยบาดเจ็บ 58 ราย เสียชีวิต 3 ราย คู่กรณีเสียชีวิต 14 ราย ส่วนใหญ่เกิดขณะส่งต่อผู้ป่วยระหว่างสถานพยาบาลถึงร้อยละ 80
กระทรวงสาธารณสุข จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุรถพยาบาลและความคุ้มครองอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำในช่วงเทศกาลต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรทางการแพทย์
หลักการส่งต่อระหว่างสถานพยาบาลนั้น คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยและมาตรฐานในการรักษาพยาบาล แพทย์เจ้าของไข้จะทำการประเมินแล้วว่าผู้ป่วยมีสัญญาณชีพคงที่ ไม่อยู่ในภาวะวิกฤต คาดว่าจะไม่ทรุดลงรุนแรงขณะนำส่ง จนถึงโรงพยาบาลปลายทาง อีกทั้งในรถพยาบาลมีอุปกรณ์การแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่สามารถให้การดูแลผู้ป่วยได้ เปรียบเสมือนห้องฉุกเฉินย่อยๆ ของโรงพยาบาลตามมาตรฐานการแพทย์
การขับรถเร็วและฝ่าสัญญาณไฟจราจร ไม่ได้ช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัย แต่จะเพิ่มความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุรุนแรง และเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตได้มาก จึงเน้นย้ำให้รถพยาบาลนอกจากต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบกและใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด การเปิดไซเรนหรือไฟฉุกเฉินเป็นการแจ้งให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทราบว่าภายในรถมีผู้ป่วย เพื่อขอความร่วมมือในการเปิดทางให้รถพยาบาลสะดวกขึ้น และที่สำคัญยิ่งคือต้องใช้ความระมัดระวังรอบคอบควบคู่กันไป
พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุถึง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 75 ผู้ขับขี่รถฉุกเฉินมีสิทธิ
- ใช้สัญญาณไฟ สัญญาณเสียงไซเรน
- หยุดรถหรือจอดรถในที่ห้ามจอดได้
- ขับรถเกินอัตราความเร็วที่กำหนดไว้
- ขับรถผ่านสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรใดๆ ที่ให้รถหยุด แต่ต้องลดความเร็วของรถให้ช้าลง
- ไม่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.นี้ หรือข้อบังคับการจราจรเกี่ยวกับช่องทางเดินรถ ทิศทางการขับรถ หรือการเลี้ยวรถตามที่กำหนด
แต่ผู้ขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังรอบคอบ ไม่ประมาทเนื่องจาก ยังมีผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมเส้นทางอยู่ด้วยซึ่งบางครั้งผู้ใช้รถรายอื่นๆอาจขาดความระมัดระวังเท่าที่ควร จนนำไปสู่อุบัติเหตุได้
มาตรา 76 ได้ระบุถึงการปฏิบัติตัวของประชาชนเมื่อเจอรถพยาบาลฉุกเฉิน ต้องให้รถพยาบาล(รถฉุกเฉิน)ผ่านไปก่อน อาทิ
คนเดินเท้าต้องหยุดหรือหลบชิดขอบทาง หรือไหล่ทางที่ใกล้ที่สุด ผู้ขับขี่รถต้องหยุดหรือจอดรถชิดขอบทางด้านซ้ายการอำนวยความสะดวกให้แก่รถพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วยถือเป็นน้ำใจของผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน รวมทั้งการมีวินัยจราจรก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ขับขี่ทุกราย เพราะอุบัติเหตุหากเกิดขึ้นแล้วจะขอย้อนเวลากลับมาให้เหมือนเดิมก็คงจะเป็นไปได้ยาก