ไทยบรรลุข้อตกลง EFTA สนับสนุนการค้า-การลงทุน เปิดศักราชใหม่การค้าไทย FTA ฉบับแรกไทยกับยุโรป

(23 ม.ค. 68) เวลา 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นเมืองดาวอส ณ House of Switzerland นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศ (FTA) กับผู้แทนจากรัฐบาลไทยและประเทศสมาชิกสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ที่เข้าร่วม ได้แก่ 

(1) นายกี ปาร์เมอแล็ง (H.E. Mr. Guy Parmelin) รองประธานาธิบดีและรมว. กระทรวงเศรษฐกิจ การศึกษาและวิจัย สมาพันธรัฐสวิส ในฐานะเจ้าภาพ และโฆษกการเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป 

(2) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประเทศไทย

(3) นางสาวเซซิเลีย มีร์เซท (H.E. Ms. Cecilie Myrseth) รมว. ด้านการค้าและอุตสาหกรรม ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ในฐานะประธาน รมว. สมาคมการค้าเสรี แห่งยุโรป (EFTA) ปี ค.ศ. 2025 

(4) นาย Martin Eyjolfsson ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (Permanent Secretary of State) ไอซ์แลนด์

(5) นางสาวดอมีนิก ฮัสเลอร์ (Ms. Dominique Hasler) รัฐมนตรีต่างประเทศ การศึกษา และกีฬา ลิกเตนสไตน์ (Minister for Foreign Affairs, Education and Sport of Liechtenstein )

(6) นายเคิร์ท เยเกอร์ (Mr. Kurt Jager), เลขาธิการ EFTA (Secretary-General EFTA)

FTA ไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ EFTA ซึ่งประกอบด้วยสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์และลิกเตนสไตน์ เป็น FTA ฉบับแรกที่สำเร็จภายใต้รัฐบาลนี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับ EFTA แล้ว FTA นี้ยังจะส่งเสริมความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในสาขาต่างๆ เช่น เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง การพัฒนาทุนมนุษย์ การส่งเสริม SME และการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังร่วมลงนามความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างไทย กับ “EFTA” หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations : EFTA) ว่า เป็น FTA ฉบับแรกของไทยกับยุโรป ที่ได้เจรจามา 2 ปี และรัฐบาลนี้ได้หาข้อสรุปร่วมกับEFTAจนการเจรจาประสบความสำเร็จใน 3 เดือน

นายพิชัย กล่าวว่า FTA ไทย-EFTA เป็น FTA ที่มีมาตรฐานใหม่ยกไปอีกระดับหนึ่งทำให้เราขยายโอกาสการเจรจาสู่ FTA กับอียู ยูเออี และประเทศต่างๆในอนาคต ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ทั้งด้านภาพพจน์ การลงทุนและการค้า ประเทศไทยจะกำลังเป็นแหล่งลงทุนของประเทศต่างๆ โดยปีที่แล้วเรามีรายได้จากการลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านบาท และปีนี้จะมีเข้ามามากขึ้น คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์อีกหลายพันล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต  ทั้งนี้ ไทยต้องเร่งให้มี FTA มากขึ้น ให้มากกว่าหรือเท่ากับเวียดนาม เพื่อแข่งขันกับเวียดนามได้ FTA จะเป็นแต้มต่อทำให้ไม่ต้องเสียภาษีและแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ซึ่งมีหลายประเทศ สนใจเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น PCB Data Center หรือ AI และสำหรับผู้ประกอบการไทยจะต้องปรับตัวให้มีมาตรฐานที่ดีขึ้น

นายพิชัย ยืนยันว่า หลังจากนี้จะเป็นยุคทองของไทย และต้องช่วยกันแก้เรื่องหนี้ ขณะนี้ไทยมีเงินลงทุนเข้ามาจำนวนมาก ตลอดทั้งปี 2567 ไทยมีรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ +5.4% และเชื่อว่าปีนี้รายได้จากการส่งออกสินค้าจะเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งภายหลังการลงนามในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเผยแพร่ผลการเจรจาและเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ก่อนเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ และเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว หน่วยงานต่างๆ จะต้องออกกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการมีผลบังคับใช้ของ FTA ฉบับนี้ให้เรียบร้อย ไทยจึงจะสามารถให้สัตยาบัน ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ระหว่างนี้ภาคเอกชนไทย จึงควรศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์จากความตกลงในการขยายโอกาสทางธุรกิจเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปี 2567 ไทยกับ EFTA มีมูลค่าการค้ารวม 11,788.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.94 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 19.22 โดยไทยส่งออกไป EFTA 4,225.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจาก EFTA 7,563.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไป EFTA ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ เหล็กและผลิตภัณฑ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องใช้สำหรับเดินทาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องสำอาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ข้าว สินค้านำเข้าสำคัญของไทยจาก EFTA ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม ยากำจัดศัตรูพืช เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ สัตว์นำสด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป เคมีภัณฑ์

นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนาย Matt Garman ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Amazon Web Services (AWS) โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทของบริษัท Amazon Web Services ในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย และการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีให้กับคนไทย และขอบคุณบริษัท Amazon Web Services ที่ได้ลงทุนสร้าง Data Center ในไทยเป็น AWS Asia Pacific (Thailand) Region  ซึ่งหลายนโยบายสำคัญของไทย ก็อยู่บนฐานการใช้ประโยชน์จาก ดิจิทัลเทคโนโลยีและ AI  อาทิ การพัฒนา แอปพลิเคชัน “ ทางรัฐ” โครงการ “ Digital Wallet” รวมถึงการส่งเสริม ”e Government” เพื่อลดการใช้กระดาษ และเอื้อต่อกระบวนการขั้นตอนภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการลงทุน  รวมไปถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวและการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจะให้ไทยเป็นฐานการลงทุนที่น่าสนใจต่อการตัดสินลงทุนของภาคเอกชนต่างประเทศ

ขณะที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Amazon Web Services มีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย โดยบริษัทได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย เพื่อ เพิ่มพูนทักษะ (Upskill) ด้านดิจิทัล และ AI  ภายใต้โครงการพัฒนาทักษะแรงงานในระดับประเทศ นอกจากนี้ยังกล่าวชมประเทศไทยว่า มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน  และเชื่อว่า การลงทุนด้าน คลาวด์ ดิจิทัล และ AI จะช่วยสร้างแรงดึงดูดให้เกิดการเข้าลงทุนเพิ่มเติมจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ด้วย

นายกรัฐมนตรี ยังได้เข้าร่วมการเสวนา Betazone หัวข้อ “Not Losing Sight of Soft Power” (ซอฟต์พาวเวอร์ อำนาจที่ไม่ควรมองข้าม) โดยมีบุคคลสำคัญร่วมรับฟังด้วย ได้แก่ H.H. Sheikha Latifa  Chairwoman of  Dubai Culture and Arts Authority ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน UAE ของ WEF  และนาง Diane von Fürstenberg นักออกแบบชื่อดัง  โดยนายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมพูดคุยเสวนาเกี่ยวกับ Soft Power หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบัน ประเทศไทยมีมรดกทางวัฒนธรรมที่ร่ำรวย และมีจุดแข็งที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก เช่น soft power ด้านอาหารรัฐบาลตระหนักถึงศักยภาพและจุดแข็งที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงได้ตั้งกำหนด 13 เสาอุตสาหกรรม – ท่องเที่ยว อาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น เทศกาล กีฬา ดนตรี ศิลปะ การออกแบบ เกมส์ วรรณกรรม (literature) สุขภาพ และศิลปะการแสดง – เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับศักยภาพเหล่านี้ และสร้างมูลค่าให้กับประเทศมากขึ้น

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม Soft Power ในแต่ละด้านที่สำคัญ ดังนี้

ด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเอกลักษณ์และเสน่ห์ของคนไทย ที่มีทั้งความเป็นมิตร สุภาพ และเป็นกันเองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีมากกว่าคำว่า the land of smile แล้ว และกำลังพัฒนาสู่ประสบการณ์ที่น่าประทับใจและมีคุณค่าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะภายหลังจากการระบาดของสถานการณ์โควิด -19  ปัจจุบันนักท่องเที่ยวได้กลับมาอีกครั้งและสร้างรายได้ถึง 20% ของ GDP

ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไทยได้พัฒนาอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ทั้งการนวดแผนไทย การแพทย์เชิงบำบัดเพื่อรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ ศูนย์สุขภาพระดับมาตรฐานโลก ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการพักฟื้นและเกษียณ

มวยไทย ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งการต่อสู้และวัฒนธรรม โดยปัจจุบันไทยมีค่ายมวยกว่า 40,000 ยิมทั่วโลก 6,000 ยิมในลอนดอน ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนและตั้งใจที่จะพัฒนา โดยเฉพาะแนวทางในการออกใบรับรองมาตรฐานมวยไทย เพื่อถ่ายทอดมวยไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก

อาหาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ต่อยอดจากด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึง จะได้สัมผัสกับอาหารไทยที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค เกิดการสร้างประสบการณ์ผ่านอาหารประเภทต่าง ๆ และมีการเดินทางอย่างต่อเนื่องในหลายแห่งของประเทศ

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีชื่อเสียงในเรื่องการจัดงานเทศกาล โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งรัฐบาลไทยมีแผนที่จะเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ตลอดทั้งเดือนเมษายน ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยช่วงเดือนเมษายนได้ตลอดทั้งเดือน

การส่งเสริมให้มีกองถ่ายทำจากต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำหนังภาพยนตร์ หรือซีรีส์ในประเทศไทย โดยรัฐบาลจะมีการออก cash rebate ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์เป็นเงินคืนให้กับบริษัทถ่ายทำหนังเหล่านั้นด้วย รัฐบาลมี “นโยบายหนึ่งครอบครัวหนึ่งซอฟพาวเวอร์” ( One Family One Soft Power : OFOS) ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนไทยที่มีความสามารถได้มีช่องทางและเครื่องมือในการฝึกฝนพัฒนาทักษะ เพื่อนำไปประกอบอาชีพ นอกจากนี้รัฐบาลยังมีความตั้งใจที่จะเพิ่มทักษะผู้คนในประเทศไทยกว่า 20 ล้านคน โดยไม่ได้จำกัดเพศหรืออายุ

รัฐบาลยังเดินหน้าในการผลักดันซอฟพาวเวอร์ไทยผ่านการเปิดอบรมทั้งสิ้น 13 หลักสูตร/อุตสาหกรรมหลัก ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้นิยามและขยายความ “Soft Power ไทย” ว่าเป็นความสามารถในการดึงดูด หรือมีอิทธิพลต่อผู้อื่น และมองว่า Soft Power เป็นเสน่ห์ภายในของไทย เป็นเครื่องมือของประเทศ— ที่สามารถเชื่อมโยงและเอาชนะใจคน นอกจากนี้ รัฐบาลได้ประกาศไว้ว่า “2568 เป็นปีแห่งโอกาสของประเทศไทย” และแน่นอนว่าในวันนี้มาเพื่อยืนยันด้วยตนเองว่า ประเทศไทยมี soft power ที่ดีและมีศักยภาพหลากหลายด้าน และคนไทยก็พร้อมให้ต้อนรับทุกคน สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศ

นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนาย ทาเคชิ นีนามิ (Mr.Takeshi  Niinami) ประธานกรรมการบริหาร (CEO)  บริษัท SUNTORY Holding Co,. Ltd. โดยนายทาเคชิ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับประเทศไทยและประสงค์จะลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะ การผลิตขวดพลาสติกที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนต่อการลงทุนของภาคเอกชน และรัฐบาลยังดำเนินมาตรการ ภายใต้นโยบาย “Ease of doing business” ที่จะลดขั้นตอนความยุ่งยากและซับซ้อนในการลงทุนของนักลงทุน เพื่อให้ความมั่นใจว่า การดำเนินธุรกิจหรือการลงทุนในประเทศไทยมี ความพร้อมและรัฐบาลมีนโยบายในการให้การสนับสนุนนักลงทุนในทุกมิติอีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง