นายกฯ สั่งผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน เปิดปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” สางปัญหายาเสพติด

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน เพื่อมอบนโยบายในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจในการปฏิบัติงานและสามารถเร่งรัดการดำเนินงานสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกและรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส  พร้อมด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ส. ผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัด ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมพิธีฯ

นายภูมิธรรม กล่าวรายงานว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภากำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการและแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย โดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านสกัดกั้นนำเข้าและตัดเส้นทางลำเลียงยาเสพติด จากสถานการณ์ยาเสพติดตามชายแดนที่แพร่ระบาดเป็นอย่างมาก ป.ป.ส. จึงได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและกำหนดผู้รับผิดชอบตามมาตรา 5 (10) กฎหมาย ยาเสพติด ในพื้นที่ 14 จังหวัด 51 อำเภอชายแดน 76 สถานีตำรวจ โดยมอบหมายให้แม่ทัพภาคเป็นผู้บัญชาการสกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ตามแนวชายแดน ประกอบด้วย

พื้นที่ภาคเหนือ 6 จังหวัด 21 อำเภอ มีหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคเหนือรับผิดชอบโดยแม่ทัพภาคที่ 3

พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด 25 อำเภอ มีหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รับผิดชอบโดยแม่ทัพภาคที่ 2

พื้นที่ภาคตะวันตก 1 จังหวัด 5 อำเภอ มีหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งตั้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันตก รับผิดชอบโดยแม่ทัพภาคที่ 1

แม้ที่ผ่านมาจะสามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้เป็นจำนวนมาก แต่ยังปรากฏว่ามียาเสพติดหลุดรอดเข้ามาแพร่ระบาดหรือเป็นทางผ่านไปยังประเทศที่ 3 ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานรัฐบาลปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจน ป.ป.ส. จึงได้มอบนโยบายการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ตามแนวชายแดน โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ดังนี้ 1. เพื่อตอกย้ำเจตนารมย์ของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติด 2. เพื่อเร่งรัดการดำเนินการสกัดกั้นยาเสพติดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลอย่างเด็ดขาด 3. เพื่อกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานเร่งดำเนินงานสกัดยาเสพติดชายแดนให้เป็นรูปธรรม รวมถึงให้มีความคืบหน้า มีความดีความชอบและการประเมินประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่หย่อนยาน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานซึ่งเสี่ยงชีวิตเสี่ยงอันตราย ต้องไปดูทั้งหมดและดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่จะปรับนำเงินที่ยึดจากยาเสพติดมาดูแลหน่วยต่าง ๆ ที่เข้ามาทำงาน

ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวนอกจากจะเป็นการแก้ปัญหายาเสพติดแล้ว ยังมีการป้องกันปัญหาอาชญากรรมตามแนวชายแดนควบคู่ไปด้วย ได้แก่ การค้ามนุษย์ คอลเซ็นเตอร์ การเผาป่าตามแนวชายแดนจนเกิดปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นภารกิจปฏิบัติการภายใต้กรอบแนวคิด “Seal พื้นที่ชายแดน  Stop หยุดวงจรยาเสพติด อาชญากรรมชายแดน Safe พื้นที่ปลอดภัย” นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกันในพื้นที่กองทัพกับกระทรวงสาธารณสุขที่จะช่วยกันในระบบฟื้นฟูให้มีประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนสำคัญของการเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ พร้อมขอบคุณทุก ๆ ฝ่าย ที่ร่วมมือกันปฏิบัติงานจนเห็นผลเป็นรูปธรรม เกิดประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ สามารถนำพาลูกหลานกลับคืนสู่ครอบครัวได้อีกครั้ง รวมทั้งขอบคุณเจ้าหน้าที่ส่วนหน้า ที่ได้นำนโยบายไปปฏิบัติจนได้ผลจริง  ถือเป็นการสร้างโอกาสให้คนไทยกลับมาพัฒนาศักยภาพของตนเองอีกครั้ง สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลเรื่องการสร้างโอกาส เพราะหากประเทศยังมีปัญหายาเสพติด ก็จะเป็นการตัดศักยภาพของคนไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นโยบายภายใต้ธีม “Seal Stop Safe” เพื่อป้องกันยาเสพติดเข้าสู่ประเทศ จำเป็นต้องเพิ่มกำลัง ผนึกกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง 51 อำเภอชายแดน เพื่อให้เกิดความมั่นคงขึ้น ในส่วนของรัฐบาลพร้อมดูแลสนับสนุนทหารและอาสาสมัครอย่างครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้ติดตามการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในชุมชนผ่านโครงการท่าวังผาโมเดล จ.น่าน และ ธวัชบุรีโมเดล จ.ร้อยเอ็ด พบว่าผู้ที่ผ่านการบำบัดยาเสพติด นอกจากหายกลับมาใช้ชีวิตปกติแล้ว ยังมีความภาคภูมิใจที่สามารถหลุดพ้นจากยาเสพติดได้ สิ่งที่ทุกคนร่วมกันขับเคลื่อนปฏิบัติการในวันนี้ คือการให้โอกาสทำให้ผู้ที่เคยติดยาเสพติดได้กลับมาทำประโยชน์ให้สังคมอีกครั้ง นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมให้ผู้ที่ผ่านการบำบัดถือเป็นสิ่งสำคัญ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ทุกคน เพื่อให้ผู้ผ่านการบำบัดมีระเบียบ มีความพร้อมในการทำงานต่อไป

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า สิ่งที่จะต้องทำต่อคือการสร้างอาชีพ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งระบบ จำเป็นต้องบูรณาการร่วมกันทุกหน่วยงาน เพื่อให้ผู้ที่ผ่านการบำบัด สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ขอเป็นกำลังใจให้ทุกหน่วยที่ทำงานอย่างหนัก เพื่อประเทศชาติ และขอให้ทุกคนมั่นใจว่า หากงานนี้สำเร็จไปด้วยดี จะสร้างคนที่มีคุณภาพกลับคืนสู่สังคม

จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผู้ร่วมพิธีร่วมกัน ปักธงทำพิธีเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน สำหรับปฏิบัติในการสกัดกั้นหรือการปิดกั้นชายแดน ไม่ให้ยาเสพติดหลุดรอดเข้ามาในประเทศ ในห้วงระยะเวลา 6 เดือน คือ กุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2568 และต้องการเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมในพื้นที่ชายแดน ดังนี้ ต้องไม่ให้มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดตามช่องทางด่านตรวจ หรือจุดตรวจ ท่าเทียบเรือ บริเวณชายแดน ทั้งที่ถูกกฎหมายและช่องทางธรรมชาติ เส้นทางคมนาคม ระบบ Logistic การขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ไม่ปล่อยให้มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างรุนแรงในพื้นที่อำเภอชายแดนที่รับผิดชอบ ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้รับความเดือดร้อนและเกิดปัญหาอาชญากรรมอื่น จากยาเสพติด ไม่พบการร้องเรียนจากปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ค้า ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข มีการให้ความช่วยเหลือผู้เสพที่มีอาการทางจิตเวชจากยาเสพติด และไม่ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่

สำหรับโครงการท่าวังผาโมเดล จังหวัดน่าน และธวัชบุรีโมเดล จังหวัดร้อยเอ็ด เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน การบำบัดที่ครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงการฝึกอาชีพ เพื่อให้ผู้เสพสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และการป้องกันเชิงรุก มุ่งเน้นการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ผ่านการให้ความรู้และกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งผลที่ได้คือลดจำนวนผู้เสพยาเสพติด ฟื้นฟูชุมชน และเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

นายภูมิธรรม แถลงข่าวหลังเปิดปฏิบัติการว่า การเปิดปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการบูรณาการแก้ปัญหายาเสพติดที่พบว่ามีมาก่อนหน้านี้แล้ว และพบว่าบางส่วนมีการสื่อสารไม่ถึงและการร่วมมือกันยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ ที่ผ่านมายาเสพติดเข้ามาทางแนวชายแดนเราได้ใช้กองกำลังต่างๆ ของทางทหารและตำรวจ ซึ่งทางตำรวจคือตำรวจตระเวนชายแดน ทางทหารเป็นกองกำลังตามแนวชายแดนต่างๆ เช่น กองกำลังผาเมือง กองกำลังสุรนารีและกำลังจะเพิ่มกำลังในการตรวจสอบ ซึ่งพื้นที่ชายแดนมีระยะทางยาวกว่า 2,400 กิโลเมตร การดูแลอาจจะไม่ทั่วถึง ทั้งนี้ มีการแก้ปัญหายาเสพติดหลายระดับ ระดับแรกการนำต้นแบบจากการทำงานที่ธวัชบุรี มาใช้ดำเนินการเพิ่มขึ้นอีกในพื้นที่จังหวัดที่เป็นเป้าหมาย ขณะที่จังหวัดต่างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงทำหน้าที่ตามปกติ ขณะนี้ให้ความสำคัญใน 14 จังหวัด 51 อำเภอ 76 สถานีตำรวจ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการหลุดรอดเข้ามาตามชายแดนต่าง ๆ ดังนั้น การมีแนวป้องกันอีกชั้นจะทำให้การป้องกันยาเสพติดที่จะทะลักเข้ามา และสารตั้งต้นยาเสพติดก็จะทำให้เราสามารถซีลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเพิ่มพลังร่วมกันครั้งนี้เป็นการทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด คาดหวังว่าการปฏิบัติงานครั้งนี้จะทำให้ชุมชนชายแดนมีความสุข โดยต้องการความร่วมมือจากประชาชนเชื่อว่าประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในการสะท้อนให้เห็นความสำเร็จได้

การดำเนินการครั้งนี้เรื่องยาเสพติดคือหัวใจหลัก และพื้นที่แนวชายแดนมีปัญหาใกล้เคียงกัน คือปัญหาการค้ามนุษย์ คอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมข้ามชาติข้ามพรมแดน เข้าใจคนทำงานเพราะทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัยมาก ภารกิจคือการทำให้ประชาชนและประเทศชาติปลอดภัย จึงเห็นว่าให้แต่ละหน่วยงานได้คุยกันซึ่งได้เห็นปัญหา และแก้ไข ส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานมีกำลังใจ หลังจากวันนี้ไปได้วางไว้ 3 ช่วงในการแบ่งประเมินคือ 1. ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2568 2. ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2568 และ 3. ช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2568 ก่อนที่จะประเมินทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง และปรับแผนดำเนินการต่อไป

สำหรับมาตรการในการยกระดับระหว่างหน่วยราชการและชุมชน หลังจากวันนี้ไปแม่ทัพภาคจะเรียกหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบมาพูดคุยและกำหนดแนวทางดำเนินงานร่วมกันและต้องให้ประชาชนเป็นตัววัดด้วย บนหลักการว่าถ้าประชาชนเข้มแข็งก็จะทำให้แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชุมชนเชื่อว่าคนในชุมชนจะมีแรงในการทำงาน แต่ได้ยืนยันว่าทำครั้งนี้ต้องเด็ดขาดภายใต้การดำเนินการที่ไม่เกินกว่าเหตุ ให้ประชาชนมั่นใจว่าเราทำตามกฎหมายและหลักยุติธรรม และใช้กลไกในการตรวจสอบทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ ทั้งนี้ การกำหนดตัวเลขเชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบเนื่องจากได้กำชับฝ่ายปฏิบัติให้ทำให้เด็ดขาด แต่ให้คำนึงถึงกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายให้เคร่งครัดแต่ไม่เกินขอบเขตอำนาจที่มี และขอให้ทุกคนมองภาพให้กว้างคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง