พาณิชย์จับมือ 16 ยักษ์ใหญ่แพลตฟอร์มออนไลน์ เดินหน้าคุมเข้มมาตรฐานสินค้า ปกป้องผู้บริโภคและ SMEs ไทย

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานพิธีประกาศเจตจำนงความร่วมมือในการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานบนแพลตฟอร์ม e-Commerce ระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์ม โดยมีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมด้วย จัดโดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างความร่วมมือในการกำกับดูแลสินค้าที่วางขายบนแพลตฟอร์ม e-Commerce รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญและความจำเป็นของการไม่ซื้อขายสินค้าที่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะส่งเสริมการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม e-Commerce ให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และคุ้มครอง SMEs ของไทย

โดยการประกาศเจตจำนงในครั้งนี้ เป็นมาตรการเสริมควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมาย ที่เข้มงวดของหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นจากความห่วงใยของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อประชาชนชาวไทยกับปัญหาสินค้านำเข้าไม่มีคุณภาพมาตรฐานตลอดจนธุรกิจต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศอย่างฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งนอกจากจะช่วยปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคจากการขายสินค้าที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐานบนแพลตฟอร์มแล้ว ยังช่วยสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) ในการดำเนินธุรกิจ e-Commerce ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

การจัดงานครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มชั้นนำที่จำหน่ายสินค้าในประเทศไทยเข้าร่วมประกาศเจตจำนง จำนวน 16 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ Electronic Transactions Development Agency (ETDA) กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าต่างประเทศ BIGXSHOW / eBay / Lazada / LINE SHOPPING / Nex Gen Commerce / NocNoc /  Shopee / TEMU / TikTok Shop

ภายหลังจากการประกาศเจตจำนงฯ นี้ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง จะมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานบนแพลตฟอร์ม e-Commerce ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ถึงการซื้อขายสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานและถูกกฎหมายให้เข้าถึงผู้บริโภคและผู้ประกอบการ Online ในวงกว้าง รวมทั้งการจัดทำแนวปฏิบัติที่ดี (Best practice) ในการกำกับดูแลสินค้าที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อให้หน่วยงานมีแนวทางการทำงานร่วมกันที่ชัดเจน สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายพิชัย กล่าวว่า ธุรกิจออนไลน์ในอนาคตจะโตขึ้นเรื่อยๆ เราต้องเซ็ตระบบให้มีมาตรฐาน มีคุณภาพ งานนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกภาคส่วนจะได้ประโยชน์และวันจันทร์นี้ (3 ก.พ. 68) จะเดินทางไปที่สหรัฐอเมริกา เพื่อหารือเรื่องนโยบาย Tariffs (ภาษี) ของอเมริกา ซึ่งได้หารือกับหอการค้าไทยที่มาให้ข้อมูลให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าได้โดยไม่มีอุปสรรค เชื่อว่ายังสามารถเจรจาได้ ซึ่งมีการนัดหมายกับหลายฝ่าย ทั้ง ส.ส. ส.ว. ขณะนี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยดีมาก การส่งออกปี 2567 โตถึง 5.4% และมีการขอส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.13 ล้านล้านบาท ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนที่ไหลเข้ามาที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าปีนี้การส่งออกไทยจะดีขึ้น แต่ที่ยังมีปัญหาคือเรื่องหนี้เก่าที่เกิดจากเศรษฐกิจตกต่ำมานาน และเรื่องค่าเงินที่เริ่มแข็งค่า ต้องช่วยกันให้ประเทศเราหลุดพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง ยกระดับรายได้ของคนส่วนใหญ่

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะหน่วยงานซึ่งบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยของสินค้า อาทิ อย. สมอ. สคบ. และศุลกากรที่กำกับดูแลสินค้าที่นำเข้ามาในประเทศในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2567 สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดและฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว จำนวน 16,651 คดี มูลค่าความเสียหายรวม 984.69 ล้านบาท และจากการดำเนินงานที่เข้มงวดของคณะกรรมการฯ ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจากทั่วโลกผ่าน e-Commerce (ก.ค. – ธ.ค. 2567) ลดลง 8% เหลือเฉลี่ยเดือนละ 3,645 ล้านบาท (จากเดิมก่อนมีมาตรการช่วง ม.ค. – มิ.ย. 2567 เฉลี่ยเดือนละ 3,957 ล้านบาท)

นางสาวทรงศิริ จุมพล รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เข้าร่วมพิธีประกาศเจตจำนง เพื่อปกป้องและคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์ม e-Commerce โดยนางสาวทรงศิริ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ซึ่งระหว่างเดือนกันยายน – ธันวาคม 2567 สคบ. ได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย ตรวจสอบโฆษณาบนเว็บไซต์ที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงหรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญ การตรวจสอบสินค้าที่ไม่มีฉลาก การตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียนตลาดแบบตรง และตรวจสอบสัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภค จำนวน 698 ราย ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจ 197 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 28.50 ล้านบาท ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบธุรกิจ e-Commerce ที่โปร่งใส ปลอดภัยและยั่งยืน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้อย่างมั่นใจและได้รับการคุ้มครองตามสิทธิที่ผู้บริโภคมีอยู่ตามกฎหมาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง