นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง มาตรการตัดไฟฟ้าชายแดนไทย-เมียนมา ว่าได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อพิจารณาถึงมาตรการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีความลังเลและได้พูดในที่ประชุม ครม. หากพบความชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์สามารถตัดไฟได้เลย รวมถึงน้ำมัน เพราะจะต้องโอบอุ้มและต้องดูแลคนของเราก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อคนไทยมากมาย ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ถ้ามีความเห็นใจและเรียงลำดับที่ไม่ถูกต้อง จะเกิดปัญหาที่ยาวนานและต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยก็หนักหน่วงกับเรื่องนี้ที่เกิดขึ้น ฉะนั้นต้องเป็นมาตรการที่เข้มข้น
ถึงเวลาแล้วที่ต้องเรียกคุยกันและจัดการ โดยสามารถดำเนินการได้ทันที พร้อมระบุด้วยว่า การเดินทางเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ (5 – 8 ก.พ. 68) จะต้องมีการพูดคุยกันในประเด็นอาชญากรรมออนไลน์ซึ่งเป็นปัญหาของทั่วโลก ไม่ใช่แค่กับประเทศจีน โดยจะหาแนวทางโดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ ช่วยจัดการและต้องอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน ปัญหาดังกล่าวทางประเทศจีนเล็งเห็นถึงปัญหาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในเรื่องของการขอความร่วมมือไม่น่าจะเป็นปัญหา ซึ่งได้มีการพบหารือระหว่าง นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน กับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย พร้อมย้ำว่า การเดินทางไปจีนครั้งนี้จะต้องมีความคืบหน้าอย่างแน่นอน เพราะปัญหาอาชญากรรมออนไลน์เป็นปัญหาของประเทศจีนด้วยเช่นกัน
นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการแถลงข่าวการงดจ่ายกระแสไฟฟ้า 5 จุดไปยังประเทศเมียนมา โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทยและประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครองและนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมด้วยผู้บริหารการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
นายอนุทิน กล่าวว่า การประชุมสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมแจ้งว่าการจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา พบข้อมูลที่มีการนำไฟฟ้าไปใช้ไม่เป็นตามสัญญา ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จึงมีมติให้กระทรวงมหาดไทย และ กฟภ. งดจำหน่ายไฟฟ้าที่จ่ายให้กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
กฟภ. ได้ดำเนินการตัดไฟ จำนวน 5 จุดซื้อขายไฟฟ้า ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่
จุดที่ 1 บริเวณริมฝั่งแม่น้ำแม่สาย เขตแดนประเทศไทยฝั่งประเทศไทย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถึงเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
จุดที่ 2 บริเวณบ้านเหมืองแดง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถึงเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
จุดที่ 3 บริเวณบ้านห้วยม่วง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถึงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
จุดที่ 4 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถึงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
จุดที่ 5 บริเวณพรมแดนบ้านพระเจดีย์สามองค์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ถึงเมืองพญาตองซู รัฐมอญ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
นายอนุทิน ระบุด้วยว่า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงปัญหาการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และอาชญากรรม
ข้ามชาติที่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรมและส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายประเทศ ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้ เป็นไปตามคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยหน่วยงานความมั่นคงของชาติ จึงขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นเพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของพี่น้องประชาชน และขอให้สื่อมวลชน ช่วยเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชน
ทั้งนี้ กฟภ. ได้แจ้งกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานความมั่นคงในประเทศเพื่อทราบการงดจำหน่ายไฟฟ้าดังกล่าว พร้อมขอความอนุเคราะห์ในการประสานงานกับสถานทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รวมถึงหน่วยงานรัฐในพื้นที่ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ณ จุดซื้อขายไฟฟ้าทั้ง 5 แห่ง พร้อมย้ำว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนชาวเมียนมาโดยตรง แต่เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้ ยังคงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการเมียนมาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป