ไทยต้องยืน 1 ในเอเชียหลัง UN ยกไทยเป็นประเทศพัฒนายั่งยืนที่ 1 ในอาเซียน 6 ปีซ้อน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงาน JFCCT Prime Minister’s Address Luncheon 2025 ของหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) ในหัวข้อ “Sustainable Thailand – Advancing with Reforms” โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย นางวีเบ็คก้า ลิสซานด์ เลอร์ว็อก (Mrs. Vibeke Lyssand Leirvag) ประธาน JFCCT พร้อมด้วยคณะผู้แทน JFCCT จำนวน 36 คน (เป็นองค์กรภาคเอกชนที่ประกอบไปด้วยหอการค้าต่างประเทศ 36 ประเทศจากทั่วทุกภูมิภาค อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส อินเดีย และตุรกี เป็นต้น) คณะทูตานุทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ผู้บริหารภาคเอกชนจากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของปาฐกถา ดังนี้ นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงาน ซึ่งมีผู้นำภาคธุรกิจและผู้มีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกเข้าร่วมจำนวนมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่างประเทศต่ออนาคตทางเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งขอบคุณ JFCCT ที่ได้จัดงานนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงหัวข้องาน “Sustainable Thailand – Advancing with Reforms” ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาล เพื่อสร้างการเติบโตและยืดหยุ่นให้กับประเทศไทยในระยะยาว

  • โดยเห็นว่าความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนจะช่วยนำทางประเทศไทย ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และสร้างความสำเร็จระยะยาวในเศรษฐกิจโลก ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • รัฐบาลย้ำในการให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยดัชนี SDGs ปี ค.ศ. 2024 ไทยได้รับการจัดอันดับที่ 45 ของโลก อันดับที่ 3 ในเอเชีย และอันดับที่ 1 ในอาเซียน ติดต่อกัน 6 ปี (ค.ศ. 2019 – 2024)

นอกจากนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา ไทยได้รับเชิญให้เข้าสู่กระบวนการเพื่อเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นสมาชิก OECD โดยเป็นผลสำเร็จจากโครงการความร่วมมือต่างๆ กับ OECD เช่น การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และการสนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนและการเปลี่ยนผ่านของไทย ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยในการร่วมมือกับนานาชาติ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่าง

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยเพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นเปลี่ยนการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมให้เป็นการเติบโตที่ยั่งยืนต่อเนื่อง

  • โดยสนับสนุนการนำโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green (BCG) มาใช้ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นวัตกรรม และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลัก เช่น เกษตรกรรมและอาหาร การดูแลสุขภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานและวัสดุ การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยใช้จุดแข็งของไทยด้านความหลากหลายทางชีวภาพและเทคโนโลยี
    เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับโลก
  • สิ่งสำคัญของกลยุทธ์นี้ คือ การส่งเสริมความรับผิดชอบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในด้านการผลิตและการบริโภค การลดขยะ และการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจะสนับสนุนไทยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065
  • ไทยมีแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan) ซึ่งได้รับการรับรองเมื่อปี ค.ศ. 2018 และมีความก้าวหน้าภายใต้พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงมีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี ค.ศ. 2040 โดยความพยายามเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนสำหรับทุกคน

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณและยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ    ที่ ยั่งยืนและครอบคลุม ซึ่งมุ่งเน้นที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเชื่อมั่นว่า แนวคิดและความคิดเห็นที่ได้มีการแลกเปลี่ยนในวันนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจและแนวทางในการขับเคลื่อนสู่สังคมที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น พร้อมเน้นย้ำการทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน มั่งคั่ง และครอบคลุมสำหรับทุกคน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง