นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568 จังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีวาระสำคัญ ดังนี้
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอให้พิจารณาโครงการจังหวัด เพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่
3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน ที่เกิดเหตุเมื่อเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปีที่ผ่านมา โดย สศช. เสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการ โครงการจังหวัดเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ที่ได้รับความเสียหาย จากอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน ที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน 22 โครงการ กรอบวงเงินรวม 304.80 ล้านบาท โดยให้จังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานี ขอรับการจัดสรรจากงบฯ ปี 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ สำนักงบประมาณ (สงป.) ตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการและงบฯ ต่อไป โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- จากเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานี ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2567 ก่อให้เกิดความเสียหายครอบคลุมในหลายพื้นที่ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทั้งภาคครัวเรือน ภาคการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน โดย สงป. สศช. และ กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ร่วมกันลงพื้นที่และพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการของ จังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานี เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยเห็นควรสนับสนุนโครงการจังหวัดเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค สาธารณูปการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน เพื่อขอรับการจัดสรรจากงบฯ ปี 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 22 โครงการ กรอบวงเงินรวม 304.80 ล้านบาท โดยเฉลี่ยประมาณจังหวัดละ 100 ล้านบาท อาทิ การซ่อมถนนจัดทำเขื่อนป้องกันตลิ่ง โดย จ.ยะลา จัดทำคันกั้นน้ำริมแม่น้ำปัตตานี จำนวน 100 ล้านบาท จ.นราธิวาส 14 โครงการ 100.32 ล้านบาท และ จ.ปัตตานี 7 โครงการ 104.47 ล้านบาท
- ข้อเสนอโครงการเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน (ยะลา นราธิวาส และปัตตานี) จะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยได้รับการปรับปรุง ซ่อมแซม และฟื้นฟูให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ จะช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันและบรรเทาความเสียหายจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม เร่งกำหนดแผนการแก้ไขปัญหาระยะยาวและยั่งยืน เพื่อจะได้ไม่ต้องมาแก้ปัญหาระยะสั้นเหมือนช่วงที่ผ่านมาอีกต่อไป
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการจังหวัดเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคสาธารณูปการ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน ที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน 22 โครงการ กรอบวงเงินรวม 304,795,400 บาท โดยให้จังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานี ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการและงบประมาณต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
จากเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดยะลา นราธิวาสและจังหวัดปัตตานี ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2567 นับเป็นสถานการณ์รุนแรงที่สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยมีสาเหตุหลักเนื่องมาจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งตะวันออกของประเทศมาเลเซียเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลอันดามันตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมาก และปริมาณฝนที่ตกสะสมทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มต่ำ และท่วมขังในพื้นที่เมืองและเขตเศรษฐกิจสำคัญ
ทั้งนี้ ข้อเสนอของโครงการฯ ดังกล่าว จะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานที่รับความเสียหายจากอุทกภัยได้รับการปรับปรุง ซ่อมแซม และฟื้นฟูให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันและบรรเทาความเสียหายจากอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนและภาคส่วนในพื้นที่ในการดำเนินชีวิตประจำวันและประกอบกิจการได้อย่างปลอดภัย
สำหรับเรื่องผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช และพัทลุง) เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 และวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช และพัทลุง) เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 และวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
2. เห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จำนวน 23 โครงการ กรอบวงเงิน 300,000,000 บาท โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและให้สำนักงบประมาณพิจารณาความพร้อม ความคุ้มค่าของโครงการและความเหมาะสมของวงเงินตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
3. เห็นชอบในหลักการของโครงการที่เป็นข้อเสนอกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) จำนวน 12 โครงการ กรอบวงเงิน 300,000,000 บาท โดยให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ
4. มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) ในส่วนที่เหลือจำนวน 21 โครงการ เพื่อบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
จากการลงพื้นที่ตรวจราชการของนายกรัฐมนตรี หลังได้รับฟังปัญหาจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้มีแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดพัทลุงและสงขลา โดยมีข้อสั่งการ ดังนี้
1) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ เร่งหาแนวทางสนับสนุนการปลูกกล้วยสายพันธุ์ของพัทลุง และทุเรียนภูบรรทัด ทั้งในด้านส่งเสริมการเพาะปลูกให้แพร่หลาย รวมทั้งการหาตลาดรองรับผลผลิต เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าในชุมชนให้มากขึ้น
2) ในพื้นที่ทะเลน้อยจังหวัดพัทลุง มีศักยภาพสูงทั้งด้านการท่องเที่ยวและการประมง จะช่วยสร้างรายได้ให้ประชาชน โดยทางจังหวัดและภาคเอกชน มีข้อเสนอให้ขุดลอกทะเลน้อย กำจัดวัชพืชต่างๆ ฟื้นฟูนิเวศ คืนธรรมชาติ พร้อมฟื้นการประมงและส่งเสริมอาชีพให้กับท้องถิ่น โดยขอให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
- ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศึกษาและกำหนดแนวทาง พร้อมทั้งจัดเตรียมงบประมาณที่จำเป็นสำหรับดำเนินการ
- ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หามาตรการในการสนับสนุนและให้ความรู้ทางวิชาการอย่างถูกต้อง สำหรับการทำประมงในพื้นที่ จ.สงขลา เช่น การเลี้ยงปลาดุกนา ทั้งในส่วนของระบบการหมุนเวียนน้ำ และพันธุ์ปลา เพื่อยกระดับให้ประชาชน มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น - ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้มากขึ้น
- ให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เร่งหามาตรการในการเพิ่มแสงสว่างให้กับสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทางและไม่กระทบต่อระบบนิเวศ
- การเยี่ยมชมบริษัท ไทยยูเนี่ยน ซีฟู้ด จำกัด ที่ประสบความสำเร็จในการส่งออกอาหารทะเลไปต่างประเทศ มีข้อเสนอสำคัญ ที่จะขอให้กรมประมง ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาพันธุ์กุ้งอย่างจริงจัง ฟื้นฟูความเข้มแข็ง ด้านการเลี้ยงกุ้งเพื่อการส่งออก ที่ไทยเคยเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอีกครั้ง
- การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีสั่งการว่า สำหรับตัวเมืองจังหวัดสงขลามีศักยภาพสูง
ด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ (Cruise) ขอให้กระทรวงคมนาคมเร่งศึกษาการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญ และขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับท้องถิ่น พัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการจัดกิจกรรมต่างๆ ของแหล่งท่องเที่ยว เช่น ในเมืองเก่าสงขลา อำเภอหาดใหญ่ หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ โดยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา
เป็นเจ้าภาพในการเป็นศูนย์กลางการประสานหน่วยงานต่างๆ ที่จะลงมาร่วมพัฒนาด้วย