นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน พบสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ปี 2568 ใน 4 จังหวัดภาคอีสาน ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ดูแลของเขตสุขภาพที่ 9 มีผู้ป่วยสะสมพุ่งสูงเป็น 6,938 ราย และปีนี้มีผู้เสียชีวิตสะสมแล้ว 3 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง 10 กุมภาพันธ์ 2568 โดยจังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วยมากสุด 3,719 ราย และมีผู้เสียชีวิต 3 ราย รองลงมา คือ จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 1,753 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 800 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต และ จังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 666 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยพบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มเด็กอายุ 5 – 9 ปี รองลงมาคือ เด็กอายุ 4 ปี และอายุ 3 ปี ตามลำดับ
สั่งหน่วยงานสาธารณสุขเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
- รัฐบาลสั่งการให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การระบาดอย่างเต็มศักยภาพ เน้นย้ำให้ประชาชนหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
- ให้เข้ารับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี ปีละ 1-2 ครั้ง ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานที่กำลังมีการระบาดในขณะนี้
พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ดังนี้
- ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 17 กุมภาพันธ์ 2568 พบผู้ป่วยสะสม 107,570 ราย เสียชีวิต 9 ราย คิดอัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 0.008 แนวโน้มผู้ป่วยสูงขึ้นกว่าปี 2567 และสูงกว่าค่ามัธยฐาน
(ค่ากลาง) ย้อนหลัง 5 ปี โดยกลุ่มอายุที่ป่วยสูงสุด คือ อายุ 5-9 ปี อายุ 0-4 ปี และอายุ 10-14 ปี ตามลำดับ - สายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุด คือ สายพันธุ์ A/H1N1(2009) ร้อยละ 41.38 รองมาคือ สายพันธุ์ B ร้อยละ 37.9 และ A/H3N2 ร้อยละ 26.72 ทั้งนี้การระบาดมักพบในโรงเรียนถึง 11 เหตุการณ์ เรือนจำ 3 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 2 เหตุการณ์
- การพยากรณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 คาดว่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากปี 2567 โดยจะพบสูงในฤดูฝน ระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม และช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือน มกราคม – มีนาคม คาดว่าจะมีผู้ป่วยสูงถึง 903,446 ราย ซึ่งจะต้องมีมาตรการที่จะกดอัตราป่วยให้ลดลง
- มีคำแนะนำประชาชนให้รับวัคซีนป้องกันปีละ 1 ครั้ง ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ หากพบว่ามีอาการป่วยให้หยุดพักจนกว่าจะหาย และสวมหน้ากากอนามัยเสมอ
- ปัจจุบันมียาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ที่ใช้รักษา และลดอาการรุนแรงของโรค แนะนำให้ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุก ๆ ปี เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
แนะฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อหวัดใหญ่
สำหรับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดแบ่งวัคซีนป้องกันไข้หวัดเป็นสายพันธุ์ขั้วโลกเหนือ ครอบคลุม
4 สายพันธุ์เป็น A และ B อย่างละ 2 สายพันธุ์ และขั้วโลกใต้ ครอบคลุม 3 สายพันธุ์ เป็น A จำนวน 2 สายพันธุ์ และ B จำนวน 1 สายพันธุ์ โดยปัจจุบันที่ไทยฉีดอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม – มีนาคม จะเป็นสายพันธุ์ขั้วโลกเหนือ ส่วนสายพันธุ์ขั้วโลกใต้จะเป็นช่วง 6 เดือนถัดมาคือ ตั้งแต่เดือนเมษายน – กันยายน โดยยืนยันว่าวัคซีนที่ฉีด ในปัจจุบันครอบคลุมกับเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในช่วงนี้ คือ สายพันธุ์ A/H1N1(2009) ซึ่งสอดคล้องกับการระบาดในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น
7 กลุ่มเสี่ยงรับวัคซีนได้ช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. นี้
ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ในช่วงของการรณรงค์ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2568 ได้แก่
1. หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 – 20 สัปดาห์
2. เด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี
3. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจและหลอดเลือด ไตวาย เบาหวาน ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด
4. ผู้อายุมากกว่า 65 ปี
5. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
6. ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ
7. ผู้มีภาวะโรคอ้วน ที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม หรือมีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 35 (BMI)
โรคไข้หวัดใหญ่ อาการ – วิธีป้องกัน
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้อธิบายถึงโรคไข้หวัดใหญ่ ไว้ดังนี้
“ไข้หวัดใหญ่” เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อินฟลูเอนซ่า (Influenza Virus) สามารถจำแนกออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่ ชนิด A B C และ D โดยชนิด A และ B มักก่อให้เกิดไข้หวัดตามฤดูกาล ผู้ป่วยอาจมีอาการเริ่มต้นเหมือนไข้หวัดทั่วไป (Common cold) ส่วนใหญ่สามารถหายได้ใน 1 – 2 สัปดาห์ แต่บางรายอาจมีความรุนแรงทำให้เกิดปอดอักเสบและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะคล้ายคลึงกับไข้หวัดทั่วไปคือ ติดต่อโดยการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วยที่ไอหรือจาม และการสัมผัสมือหรือการใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ ของเล่น รีโมทโทรทัศน์ เมื่อใช้มือมาขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย
ไข้หวัดใหญ่มักแสดงอาการที่อาจทำให้สับสนกับไข้หวัดทั่วไป โดยอาการแสดงเด่นๆ ได้แก่ ปวดศีรษะ ไอแห้ง มีน้ำมูกใส คัดจมูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีไข้สูง และอ่อนเพลีย จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที ทั้งนี้ วิธีการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการในเบื้องต้น เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออาการรุนแรงแพทย์จะพิจารณาให้ยาฆ่าไวรัส ซึ่งจะเข้าไปยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ทำไห้ลดระยะเวลาอาการเจ็บป่วย ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล และลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น ซึ่งความจำเป็นในการใช้ยานี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถทำได้โดย หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจล ทำความสะอาดมือ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หรือถ้าจำเป็นควรใส่หน้ากากอนามัย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินอาหารปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณดวงตา จมูก หรือปาก เพราะสามารถติดต่อได้ตามช่องทางเหล่านี้ นอกจากนี้ ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี และที่สำคัญควรใส่หน้ากากอนามัยหากจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่แออัดหรือมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ เช่น โรงพยาบาล สถานีขนส่งสาธารณะ ห้างสรรพสินค้าหรือตลาดที่มีคนจำนวนมาก เป็นต้น