สืบเนื่องจากการร้องเรียน/แจ้งเบาะแส และการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศ วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ ในท้องที่จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด พบว่ามีการบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้เพื่อปลูกพืชเกษตรเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะทุเรียนและยางพาราอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจยึดพื้นที่และดำเนินคดีไปแล้วกว่า 15 คดี เนื้อที่กว่า 2,250 ไร่
ล่าสุด กรมป่าไม้ โดยหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) นำกำลังเจ้าหน้าที่ ร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดยุทธการ “พิทักษ์ผืนป่าตะวันออก” เข้าตรวจสอบจุดเป้าหมายในท้องที่จังหวัดจันทบุรี ที่คาดว่าจะมีการบุกรุก แผ้วถาง ยึดถือครอบครองและเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 10 จุด เนื้อที่ประมาณ 800 ไร่ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ตรวจยึดคืนพื้นที่ป่านำกลับมาฟื้นฟูสภาพป่าและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าไม้และจะขยายผลไปในท้องที่จังหวัดตราด
เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจสอบและตรวจยึดพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุก แผ้วถาง ยึดถือครอบครอง เพื่อทำสวนทุเรียน ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าตกพรม ท้องที่หมู่ที่ 4 บ้านโชคดี ตำบลบ่อเวฬุ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี จากการตรวจสอบ พบการปรับสภาพพื้นที่ลักษณะขั้นบันได ใช้เครื่องจักรกลหนัก ในพื้นที่ซึ่งมีความลาดชัน เพื่อปลูกพืชผลทางการเกษตร ชนิดต้นทุเรียนและต้นยางพารา
ระหว่างตรวจสอบ พบชายขับจักรยานยนต์วิบากออกจากพื้นที่ โดยอาศัยความชำนาญในพื้นที่หลบหนีไป เจ้าหน้าที่จึงสอบถามจากผู้ครอบครองแปลงที่ดินข้างเคียง ทราบว่า บุคคลดังกล่าวมาเปิดและปิดระบบน้ำสำหรับรดต้นทุเรียนเป็นประจำ แต่ไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด เนื่องจากไม่เคยสอบถามชื่อและไม่ทราบว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของผู้ครอบครองหรือเป็นคนงาน
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบในพื้นที่ พบยางพาราอีกประมาณ 250 ต้น และต้นทุเรียนอายุประมาณ 3 เดือน จำนวน 350 ต้น รวมถึงกล้าทุเรียนอีกจำนวนหนึ่งและยังพบไม้หวงห้ามขนาดใหญ่ถูกตัดโค่นจำนวนมาก โดยปรากฏร่องรอยตอไม้กระจายในพื้นที่ ตรวจสอบพบเป็นไม้พระเจ้า 5 พระองค์และไม้ตะเคียน ทั้งท่อนและแปรรูป รวมปริมาตร 39.42 ลูกบาศก์เมตร
เมื่อจับค่าพิกัดรอบแปลงที่ดิน คำนวณเนื้อที่ได้ 63 – 0 – 08 ไร่ จึงใช้อากาศยานไร้คนขับ ปฏิบัติการบินถ่ายภาพบริเวณแปลงที่ดินเกิดเหตุ เพื่อบันทึกภาพลักษณะการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ซึ่งเมื่อตรวจสอบกับระบบภูมิสารสนเทศ พบว่า แปลงที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าตกพรม ฐานข้อมูลไม่ปรากฏการสำรวจถือครองเพื่อดำเนินโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) และไม่พบการอนุญาต หรือสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามกฎหมายอันเกี่ยวข้องในที่ดินแต่อย่างใด
การเข้าครอบครองทำประโยชน์ของบุคคลในที่ดินรายนี้ ถือเป็นการกระทำฝ่าฝืนระเบียบและกฎหมาย จึงได้ดำเนินการตรวจยึดพื้นที่ พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.ตกพรม เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฐานกระทำความผิดตามมาตรา 14 มาตรา 31 มาตรา 26/4 และ พ.ร.บ.ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในฐานความผิดตามมาตรา 11 มาตรา 73 มาตรา 54 มาตรา 55 มาตรา 72 ตรี และมาตรา 69