นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัญหาคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาที่กระทบต่อประชาชนคนไทยเป็นอย่างมากและเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ใช่เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น แต่เป็นปัญหาระหว่างประเทศ โดยที่ผ่านมาได้ติดตามการทำงานของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีในการจัดการปัญหาตามแนวชายแดนเมียนมา แต่เนื่องจากปัจจุบันปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ เช่น ชายแดนลาวและกัมพูชา โดยให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหม และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รายงานสถานการณ์ปัจจุบัน และมาตรการในการป้องกันปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี พร้อมระบุว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลจะทำต่อเนื่องแบบ “ไม่จบ ไม่เลิก” จัดการเด็ดขาด
นายกรัฐมนตรี ตอบกระทู้ถามสด นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที ให้ทำงานเพื่อแก้ปัญหาร่วมกันและประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันหาทางออก ตลอดจนจัดศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อบูรณาการทั้งหมดและรับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยระงับความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงการปิดบัญชีม้าไปแล้วรวม 1.92 ล้านบัญชี นอกจากนี้ ยังมีมาตรการร่วมกับธนาคารเพื่อยกระดับการเปิดบัญชีใหม่กับบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ได้ยกร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มอำนาจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหา เช่น การกำหนดความผิดผู้ที่นำข้อมูลประชาชนไปขาย การเพิ่มความรับผิดชอบให้กับสถาบันการเงินและให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือร่วมรับผิดชอบกรณีไม่ระงับความเสียหายที่เกิดขึ้น สำหรับชายแดน ได้ให้หน่วยงานความมั่นคงปิดกั้นพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาอย่างเข้มข้น จับกุมขบวนการการค้ามนุษย์ที่ผ่านแดนไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตรวจค้นทำลายแหล่งส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ผิดกฎหมาย รวมถึงให้กระทรวงการต่างประเทศประสานหน่วยงานต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งมีระบบไตรภาคี ระหว่างไทย จีน และเมียนมา เพื่อช่วยเหลือในการแก้ปัญหาระหว่างกัน พร้อมย้ำว่า เป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยต้องดูแลคนไทยก่อน ทั้งเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติด หากไม่จบไม่เลิกแน่นอน
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือประเด็นการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ ณ ห้องประชุม ร.12 พัน.3 รอ. อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดการประชุมว่า ตั้งใจมาติดตามการดำเนินงาน หลังจากเมื่อเดือนที่ผ่านมารองนายกรัฐมนตรีภูมิธรรม ได้ลงพื้นที่มาตรวจปัญหาดังกล่าว ทุกคนทราบกันอยู่แล้วว่าปัญหาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ขอบคุณทุกฝ่าย ทั้งความมั่นคง ตำรวจ ที่ช่วยกันดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นมา รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดี โดยจะไปดูว่าจากข้อสั่งการครั้งที่แล้ว ได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้างและจะติดตามผลว่ามีสิ่งใดสามารถเพิ่มเติมได้อีก หากทางเอกชนต้องการอะไรเพิ่มเติมจากรัฐบาลในเรื่องการสื่อสารไปถึงประชาชน จะได้มีการพูดคุยเพิ่มเติมด้วย
นายกรัฐมนตรี รับฟังรายงานสถานการณ์ภาพรวมการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์จากนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ที่ผ่านมาได้ดำเนินการระงับเสารับส่งสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ตามแนวชายแดน โดยมีระยะทางเริ่มตั้งแต่บริเวณอำเภอตาพระยา อำเภอโคกสูง อำเภออรัญประเทศ ไปสิ้นสุดที่อำเภอคลองหาด รวม 4 อำเภอ มีเสารับส่งสัญญาณ จำนวน 118 เสา อนุญาต จำนวน 70 เสา ยังไม่ได้อนุญาต 48 เสา รวมทั้งการระงับบัญชีม้าและการจัดการที่พักผิดกฎหมาย ที่พักจอดรถ รับฝากรถ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำหรับการลักลอบพาคนข้ามแดนในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว
จังหวัดสระแก้ว มีอำเภอชายแดนติดกับกัมพูชา จำนวน 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอตาพระยา โคกสูง อรัญประเทศ และคลองหาด รวมระยะทางประมาณ 165 กม. มีจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้า รวม 5 จุด ได้แก่
1. จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ 2. จุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน อ.คลองหาด 3. จุดผ่านแดนถาวรบ้านหนองเอี๋ยน อ.อรัญประเทศ 4. จุดผ่อนปรนการค้าบ้านตาพระยา อ.ตาพระยา และ 5. จุดผ่อนปรนการค้าบ้านหนองปรือ อ.อรัญประเทศ มีสถิติการเดินทางเข้า-ออก ระหว่างประเทศผ่านจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้าในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ปี พ.ศ. 2567 รวมบุคคลเดินทางเข้าทั้งสิ้น 7,612,835 คน และเดินทางออกทั้งสิ้น 7,557,495 คน
ด้านการอำนวยความสะดวกและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ ณ กรุงปอยเปต ของสถานกงสุลใหญ่ ณ จังหวัดเสียมราฐ พบมีคนไทย 119 คน ได้ดำเนินการตามกระบวนการกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) จังหวัดสระแก้ว ซึ่งในวันที่ 1 มีนาคม 2568 สถานกงสุลใหญ่ ณ จังหวัดเสียมราฐ ได้อำนวยความสะดวกในการส่งตัวคนไทยทั้ง 119 คน ที่อาศัยอยู่ในกรุงปอยเปต กลับประเทศไทย โดยจะนำส่งไปยังศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM: National Referral Mechanism) จังหวัดสระแก้ว เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ส่วนมาตรการซีลพื้นที่ชายแดนภายใต้เขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ตามนโยบาย Seal Stop Safe นั้น มีสถิติการจับกุมลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2566 – ปัจจุบัน) พบว่า มีสถิติการจับกุมลดลง 40% โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ได้จับกุมผู้กระทำความผิด และมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวน 13 ครั้ง ผู้ต้องหาชาวไทย 25 คน ชาวจีน 3 คน และชาวอินโดนีเซีย 1 คน
ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่ให้ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและงดจ่ายน้ำมันนั้น พบว่าปัญหาการถูกหลอกลวงลดลง 30% นอกจากนี้ กสทช. ได้ระงับบริการโทรคมนาคมบริเวณชายแดน “ยุทธการล้มเสา ตัดสาย ทำลายซิม” ในพื้นที่ 4 อำเภอเสี่ยง พร้อม 6 แนวทางการปฏิบัติ ได้แก่ 1) จุดตรวจตรวจค้นบุคคล – ยานพาหนะ 2) ตัดเส้นทางการข้ามแดนแบบผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น 3) ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ผิดกฎหมาย 4) ตัดสัญญาณโทรศัพท์ที่รั่วไหลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 5) ตรวจสอบโรงแรม 6) ตรวจสอบบ้านเป้าหมาย
นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการในที่ประชุม ดังนี้
1. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงาน กสทช. ติดตามเรื่องสัญญาณอินเทอร์เน็ต สัญญาณสื่อสาร รวมทั้งซิมโทรศัพท์ อย่าให้ถูกมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกลวงประชาชนและตรวจสอบสัญญาณที่ตัดไปแล้ว อย่าให้มีการติดตั้งขึ้นมาใหม่อย่างเด็ดขาด
2. ให้หน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง กวดขันเรื่องการเข้าออกบริเวณแนวชายแดน เฝ้าระวังการลักลอบนำคนหรืออุปกรณ์ใด ๆ เข้าออกตามแนวชายแดน โดยเฉพาะตามช่องทางธรรมชาติ และต้องมีการทำงานด้านการข่าวกับคนในพื้นที่และประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการจับกุมหรือการเดินทางเข้ามาของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการปราบปรามของรัฐบาล
3. ให้ทหาร ตำรวจ ศุลกากร ฝ่ายปกครอง ตรวจสอบคัดกรองด้วยความรอบคอบว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด ผู้ใดเป็นเหยื่อ และต้องมีบันทึกการจับกุมอย่างชัดเจน
4. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่รับผิดชอบประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านในกรณีที่มีการส่งกลับ ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกส่งกลับแล้วจะต้องส่งตัวต่อไปยังประเทศที่สาม ขอให้มีความชัดเจนในการส่งตัวกลับไปยังประเทศปลายทางในทันที พร้อมทำบันทึกเป็นหลักฐานเพื่อป้องกันการกลับเข้ามากระทำผิดซ้ำในประเทศไทยด้วย
5. ให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง กองกำลังป้องกันชายแดน และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพิ่มมาตรการคัดกรองและตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด การควบคุมเส้นทางการลักลอบเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการอาชญากรรม เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบด่านชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เมียนมา ลาว และมาเลเซีย
6. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้มงวดในมาตรการแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์ด้านต่างๆ อย่าให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ไม่ใช่แค่จังหวัดสระแก้วเท่านั้น แต่ให้ดูแลทุกพื้นที่ไม่อยากให้ความเป็นอยู่ของประชาชนเดือดร้อนหรือได้รับความลำบากเพิ่มเติม
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ฝากทุกหน่วยงานช่วยกันดูเรื่องความสะดวกของประชาชนด้วย นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว เรื่องของความสะดวกสบายของชีวิต ก็ไม่อยากให้เสียไป หากจะต้องใช้เทคโนโลยีอะไรเพิ่มเติม ขอให้ทุกฝ่ายดำเนินการศึกษาเพิ่มเติมว่าประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศอื่น มีเทคโนโลยีอะไรที่ควรใช้และเราสามารถนำมาปรับใช้ได้ในประเทศ จะดีมากๆ
นายกรัฐมนตรี ได้ตรวจเยี่ยมศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ จังหวัดสระเเก้ว (National Referral Mechanism – NRM) ที่ใช้เป็นศูนย์คัดแยกเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นกลไกที่ถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขั้นตอนของ NRM มี 4 ขั้นตอนคือ รับแจ้งเหตุ
คัดกรอง คัดแยก คุ้มครอง โดยขั้นตอนการคัดแยก คัดกรอง จะมีสหวิชาชีพ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และพนักงานสอบสวน ร่วมในกระบวนการ ซึ่งจะต้องรอให้กระบวนการคัดแยกคัดกรองเสร็จสิ้นก่อน จึงจะเข้าสู่กระบวนการคุ้มครอง ช้าสุดไม่เกิน 15 วันหรือเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเหยื่อในการคัดกรอง คัดแยก และเมื่อเจ้าหน้าที่ประเมินแล้วว่าเป็นผู้เสียหายก็จะเข้าสู่ความคุ้มครอง จากนั้นจะส่งให้กับญาติเพื่อให้กลับประเทศ
นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของด่านพรมแดนบ้านคลองลึกลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และติดตามการดำเนินการตัดสายสัญญาณการสื่อสารบริเวณด้านหลังสถานีรถไฟคลองลึก และการลดสัญญาณการสื่อสาร โดยนายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุป จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองถึงมาตรการในการคัดกรอง ป้องกันไม่ให้มีการลักลอบไปทำงาน ณ ประเทศกัมพูชา โดยการคัดกรองการเดินทางเข้า – ออกประเทศกัมพูชา ต้องผ่านด่านเจ้าหน้าที่ช่องตรวจ ถ้าเจ้าหน้าที่ช่องตรวจไม่ให้ผ่าน จะส่งตัวไปที่ ร้อยเวรฯ สัมภาษณ์ และหากไม่ผ่าน จะถูกส่งไปยังสืบสวนหน้าด่าน ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายเพื่อคัดกรอง หากไม่ผ่านอีกจะถูกยกเลิกการเดินทางและเก็บประวัติ แก้ไขในระบบ Biometric
ด้านผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 1 กรมศุลกากร รายงานผลปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการซีลประเทศว่า ผลการดำเนินการจับกุมเงินตราเข้าประเทศ ปีงบประมาณ 2567 สามารถจับกุมได้ 38 คดีมูลค่า
58 ล้านบาท ขณะที่ปีงบประมาณ 2568 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จับกุมได้แล้ว 8 คดี มูลค่า 21 ล้านบาท และล่าสุดผลจากการปฏิบัติดังกล่าว ภายใต้ “ยุทธการ อรัญ 68 Seal Border” ในวันที่ 23 ก.พ. 68 สามารถจับกุมการลักลอบเงินตราเข้าประเทศเพิ่มอีก จำนวน 15.7 ล้านบาท
ภายหลังรับฟังบรรยายสรุป นายกรัฐมนตรีสอบถามเรื่องระบบการตรวจสอบสัมภาระ (X-ray) พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งทยอยติดตั้งเครื่องตรวจสอบสัมภาระ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ตรวจสอบการจัดการสายสัญญาณสื่อสาร โดยได้สอบถามถึงเรื่องการตัดสัญญาณโทรศัพท์ รวมทั้งระยะการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคมนี้ โดยนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามวิธีการรื้อสาย ว่าจะมีผลกระทบหรือไม่ และตรวจสอบคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์
นอกจากนี้ จังหวัดสระแก้วได้ทำการสำรวจข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะจากประชาชน 4 อำเภอชายแดนเกี่ยวกับการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ มีความเห็น ดังนี้ 1. ให้ดำเนินการเร็วที่สุดเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างถาวรและมั่นคง 2. ให้มีรั้วกั้นแนวเขตแดนที่ชัดเจนและรั้วมีความแข็งแรงแน่นหนา 3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน 4. ให้เพิ่มกำลังทหารตามแนวชายแดนให้มากขึ้น 5. ให้เพิ่มจุดตรวจในบริเวณที่มีความเสี่ยง 6. ให้เพิ่มการควบคุมสินค้าเข้า-ออกบริเวณชายแดน และ 7. ให้มีมาตรการเด็ดขาดในการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมระดับรัฐมนตรี 3 ฝ่าย ระหว่าง ไทย-เมียนมา-จีน เพื่อประสานงานการปราบปรามการหลอกลวงทางโทรคมนาคม ว่า
ได้เป็นประธานการประชุมประสานงานในการปราบปรามการหลอกลวงทางโทรคมนาคม ร่วมกับนายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และ นายอ่อง จอจอ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งบรรยากาศในการประชุมเป็นไปด้วยดีมีการแลกเปลี่ยนความเห็นมีการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา ที่สำคัญเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบอย่างมากให้เป็นรูปธรรมและมีความมั่นคงมีประสิทธิภาพรวดเร็วการประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องที่ประเทศไทยได้พยายามเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติโดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพังจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายๆ ประเทศ
ในที่ประชุมทุกประเทศทุกฝ่ายตระหนักถึงผลกระทบของปัญหานี้ต่อประชาชนและของประเทศตนและได้หารือถึงความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งการพัฒนาความร่วมมือผ่านกลไกการประสานงานที่มีอยู่แล้วให้มีความชัดเจนคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยให้ผู้แทนด้านความมั่นคงของสถานทูตทั้ง 2 ประเทศประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นความร่วมมือกับฝ่ายความมั่นคงของทั้ง 2 ประเทศ ทั้ง 2 สถานทูต เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพมีความยั่งยืน ตลอดจนความจำเป็นในการยกระดับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศไปประสานงานกันต่อไป
ที่ประชุมยังเห็นพ้องการดำเนินมาตรการไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ปฏิบัติการได้อีกต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต ซึ่งนำมาสู่การปล่อยตัวชาวต่างชาติ 260 คนในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ที่ประชุมได้กำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือชาวต่างชาติที่ได้รับการปล่อยตัวและการส่งกลับมาตุภูมิซึ่งทั้ง 3 ประเทศจะต้องกระชับความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องนี้ตามกลไกความร่วมมือ 3 ฝ่าย ไทย-จีน-เมียนมา รวมถึงมีส่วนร่วมในการดูแลกลุ่มคนที่รอการส่งกลับ ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการส่งกลับของคนต่างชาติทุกชาติที่รออยู่เป็นไปด้วยความรวดเร็วและเป็นระบบยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเลขในขณะนี้มีคนติดค้างอยู่ประมาณ 7,000 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือคนจีนประมาณ 5,000 คน สามารถส่งกลับได้เลยเนื่องจากมีขบวนการรับตัวที่เป็นระบบอยู่แล้ว และกลุ่มที่เหลือคือกลุ่มคนชาติอื่นอีกหลายประเทศซึ่งที่ประชุมได้หารือกันและให้เจ้าหน้าที่สถานทูตกับประเทศที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในประเทศไทย สามารถเดินทางไปสนับสนุนการเดินทางที่อยู่ในฝั่งตนซึ่งจะทำให้กระบวนการนี้เร็วขึ้น รวมถึงการประสานงานกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน หรือ IOM (International Organization for Migration) เข้ามาร่วมมือด้วย
จีนและเมียนมาขอบคุณไทยที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้ โดยหลังจากนี้จะมีการประสานงานระหว่าง 3 ประเทศอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตามช่องทางที่ตกลงกันไว้เพื่อร่วมกันปราบปรามกระบวนการหลอกลวงให้หมดไปและทยอยส่งกลับชาวต่างชาติที่ได้รับการปล่อยตัวจากเมียนมา ขอย้ำอีกครั้งว่าประเทศไทยได้ผลักดันการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติรวมถึงการหลอกลวงทางออนไลน์ต่าง ๆ มาระยะหนึ่งแล้ว รวมถึงการหารือกับผู้นำระดับสูงของทั้งจีนและเมียนมาอย่างต่อเนื่องมาอย่างยาวนานตั้งแต่การประชุมระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศ ไทย เมียนมา และอินเดีย ในช่วงการประชุม BIMSTEC ซึ่งเป็นการประชุมอย่างไม่เป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง หรือ MLC เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ที่จังหวัดเชียงใหม่ การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 44 และ 45 เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่เวียงจันทน์ สปป. ลาว การประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างบังกลาเทศ จีน อินเดีย สปป.ลาว เมียนมา และไทย การประชุมอย่างไม่เป็นทางการแบบขยาย หรือ Extended Informal Consultation เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่กรุงเทพมหานคร มาจนถึงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Foreign Ministers’ Retreat : AMM Retreat) เมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่เมือง ลังกาวี ประเทศมาเลเซีย
นายมาริษ กล่าวด้วยว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญที่จะตอกย้ำให้มีความชัดเจนในความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหานี้ร่วมกับนานาประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงทางชายแดนและความปลอดภัยทั้งในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนในภูมิภาคนี้รวมถึงคนไทยด้วย การที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างยิ่งกับประเทศจีนและเมียนมา รวมถึงความตั้งใจที่ดีของมิตรประเทศทั้งสองจึงทำให้เกิดความร่วมมือข้ามหลายหน่วยงานของ 3 ฝ่ายได้อย่างแน่นแฟ้น แม้ว่าจะเป็นปัญหาที่ยากและซับซ้อนก็ตาม จึงเชื่อว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างจริงจังและเด็ดขาดในอนาคต