“พาณิชย์“ ชี้แจงเงื่อนไขเงินช่วยชาวนา 1,000 /ไร่ งบ 2.8 พันล้านบาท แจ้งเกษตรกรขึ้นทะเบียนก่อน 30 เม.ย. 68

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายใน ดำเนินการชี้แจงและสร้างความเข้าใจให้พี่น้องเกษตรกร โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ได้นำเสนอมาตรการดูแลราคาข้าวเปลือกเจ้านาปรัง ปีการผลิต 2568 หลายมาตรการ ทั้งมาตรการที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต และข้อเสนอของเกษตรกร แต่สุดท้ายเลือกมาตรการที่ช่วยเหลือชาวนาโดยตรงและจะไม่เป็นภาระแก่รัฐบาลภายหลังคือ การจ่ายเงินชดเชยเกษตรกรโดยตรงไร่ละ 1,000 บาท คนละไม่เกิน 10 ไร่ วงเงินงบประมาณ 2,867.23 ล้านบาท เพราะเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือเกษตรกรได้ทันที และไม่กระทบการใช้งบประมาณ เพราะมีวงเงินจากมาตรการข้าวนาปี 4.7 หมื่นล้านบาท เหลือประมาณ 3-4 พันล้านบาท ที่จะต้องส่งคืนและขอนำกลับมาใช้ได้

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณางบประมาณในการดูแลสินค้าเกษตร พบว่า ปี 2562-2565 มีการใช้งบประมาณสูงถึงปีละ 1.07 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาบริหาร ปี 2566-2567 ได้ปรับลดงบประมาณดูแล เหลือใช้เพียง 6.5 หมื่นล้านบาท และมีมติ ครม. และ นบข. ที่กำหนดว่า การจัดทำมาตรการ โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกรให้หลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร แต่การปรับลดไม่สามารถทำได้ทันที ต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่าน

สำหรับการให้ความช่วยเหลือไร่ละพันในครั้งนี้ เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาข้าวตกต่ำ ทั้งที่ปกติไม่เคยช่วยเหลือข้าวนาปรัง แต่เมื่อปลูกแล้วก็ต้องดูแล โดยในการดูแลครั้งนี้มีเงื่อนไขชัดเจนว่าเกษตรกร จะต้องมีการปรับโครงสร้างการผลิต ซึ่ง นบข. ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมากำกับดูแล มีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ภาคเอกชน ตัวแทนชาวนา และกระทรวงพาณิชย์ร่วมกันดูแล จะผลักดันให้ไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นที่เหมาะสม หรือถ้ายังอยากจะปลูกข้าว ก็ต้องใช้พันธุ์ข้าวที่ดี มีผลผลิตต่อไร่สูง และเป็นที่ต้องการของตลาด

ขั้นตอนการช่วยเหลือ-จ่ายเงินให้กับเกษตรกร

  • จะจ่ายให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ปลูกข้าวนาปรังโดยตรง โดยที่กำหนดวงเงิน เบื้องต้นไว้ 2.8 พันล้านบาท เพราะปี 2567 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนปลูกข้าวนาปรัง 3.2 แสนครัวเรือน ประมาณ 5.5 ล้านไร่
  • ปี 2568 มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 2.3 แสนครัวเรือน ประมาณ 4 ล้านไร่ โดยเกษตรกรยังสามารถขึ้นทะเบียนได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 และจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ

สำหรับมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ

กรมการค้าภายใน ดำเนินการช่วยผลักดันราคาข้าวเปลือกให้กับเกษตรกรต่อไป โดยการนำโรงสี ผู้ประกอบการเข้าไปเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในจังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะปลูก และจะร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงในการเข้าไปรับซื้อข้าวจากเกษตรกร เพื่อนำมาผลิตข้าวถุง เป้าหมาย 5 แสนตันข้าวเปลือก

ร่วมมือกับห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างท้องถิ่น จัดโปรโมชันลดราคาข้าวถุง เพื่อกระตุ้นการบริโภค เพื่อดูดซับผลผลิตในช่วงฤดูกาลออกมาให้มากที่สุด

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการ 8 นโยบายเร่งด่วน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย หลังตัวเลขส่งออกเดือนมกราคมโต 13.6% พร้อมเดินหน้าผลักดัน FTA ไทย-อียู ขับเคลื่อนโครงการ Thailand Brand เพื่อการันตีสินค้า SME และพัฒนาภาพลักษณ์สินค้าไทยให้แข็งแกร่งในตลาดโลก โดย 8 นโยบายเร่งด่วน ประกอบด้วย

  1. การสื่อสารเชิงรุก สร้างความเข้าใจให้พี่น้องเกษตรกรได้รับทราบถึงมาตรการที่ผ่านการประชุม นบข. เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 คือ เงินสนับสนุนไร่ละ 1,000 บาท (ไม่เกิน 10 ไร่) ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสนับสนุนข้าวนาปรัง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและแก้ปัญหาในอนาคต รวมถึงได้กำชับให้ทำงานเชิงรุก ให้เร่งเตรียมแผน เพื่อดูแลราคาสินค้าเกษตร สินค้าผลไม้อื่นๆ
  • พัฒนา Thailand Brand การันตีคุณภาพสินค้าไทยด้วยโครงการ Trust Thailand ยกระดับแบรนด์สินค้าไทยสำหรับ SMEs รุ่นใหม่ พร้อมปรับระบบ Thai Select ให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยใช้มาตรฐาน ดาว 1-3 ระดับแบบมิชลิน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

3. เร่งเจรจา FTA ไทย-อียู ตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ไว้ หลังจากประสบความสำเร็จในการเจรจา FTA ไทย-เอฟตา และปิดดีล FTA ไทย-ภูฏาน โดยเตรียมประชุมวิดีโอคอลกับอียู ในวันที่ 10 มีนาคมนี้ เพื่อเร่งรัดข้อตกลงการค้าเสรี โดยอียูมีท่าทีพร้อมลดเงื่อนไขหลายด้าน

4. เปิดเสรีการส่งออกข้าว การทลายทุนผูกขาดข้าว ปรับเงื่อนไขการเก็บสต๊อกข้าวผู้ส่งออก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 และปรับค่าธรรมเนียมหนังสืออนุญาตให้ประกอบการค้าข้าว โดยคาดว่าจะเสนอ ครม. ได้ภายในเดือนมีนาคม เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กส่งออกข้าวได้สะดวกมากขึ้น และผลักดันราคาข้าวไทย ล่าสุดราคาข้าวมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการหารือกับภาคเอกชน

5. คุมเข้มสินค้าต่างประเทศผิดกฎหมาย โดยสั่งการให้ตรวจสอบสินค้าด้อยคุณภาพที่เข้ามาในไทยอย่างเข้มงวด รวมถึงเร่งจัดการปัญหานอมินีถือหุ้นผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องคุ้มครอง SMEs ไทย โดยมีผลการปราบปรามธุรกิจนอมินี 5 เดือน (ก.ย. 67-ม.ค. 68) รวม 820 ราย ซึ่งมีมูลค่าเสียหายรวมกว่า 12,495 ล้านบาท

6. ขับเคลื่อนทรัพย์สินทางปัญญา เร่งพัฒนามาตรฐานสินค้าไทยในตลาดโลก เป้าหมายคือถอดชื่อไทยออกจากบัญชี Watch List ของประเทศที่ถูกจับตามองเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งแจ้งผลสรุปการประชุมร่วมกับ นายดาเรน ทัง ผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO: World Intellectual Property Organization) ซึ่งจะได้มีความร่วมมือต่างๆ ตามมา ทั้งการยกระดับอันดับดัชนuนวัตกรรมโลกของไทย ความร่วมมือด้าน Soft Power อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และการใช้ IP ยกระดับภาคการเกษตร

7. พัฒนาแอปพลิเคชันของกระทรวงพาณิชย์ (MOC super app) เพื่อประโยชน์ด้านการค้าให้กับประชาชนและภาคธุรกิจเข้าถึงข้อมูลการค้าของกระทรวงพาณิชย์ได้ง่ายขึ้น

8. สร้างเครือข่าย Food Storage กับประเทศต่างๆ วางแผนความมั่นคงทางอาหารร่วมกับประเทศพันธมิตร เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหารในภูมิภาค และสร้างความยั่งยืนให้กับสินค้าเกษตรไทย

นายพิชัย ระบุด้วยว่า การขยายตัวของการส่งออกเดือนมกราคม 2568 ที่ 13.6% เป็นผลจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมาจากความมั่นคงในเสถียรภาพและนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยยังมองเห็นภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีและเชื่อว่าการส่งออกจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของไทยในปีนี้ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเร่งดำเนินนโยบายเชิงรุก เดินหน้าทุกแนวทางพร้อมกัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง