รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ การเสริมสร้างให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี ซึ่งปัจจุบัน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินหน้านโยบาย “คนไทย ห่างไกล NCDs” มุ่งเน้นส่งเสริมวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ โดยแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย ได้ขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมสุขภาพประชาชนลด NCDs ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรค NCDs คือการป้องกันและควบคุมปัญหาโรคอ้วนในเด็ก โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 28 ประเทศแถวหน้า (Front runner) ของโลกที่มีการขับเคลื่อนเรื่องการแก้ไขปัญหาโรคอ้วนในประชาชน
สหพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation) ได้กำหนดให้วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันโรคอ้วนโลก (World Obesity Day) พบว่า ปัจจุบันประชากรทั่วโลกมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าในปี 2578 จะมีประชากรกว่า 1.9 พันล้านคน มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรโลก
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานรณรงค์วันโรคอ้วนโลก (World Obesity Day 2025) “เปลี่ยนระบบใหญ่ เพื่อชีวิตเล็ก ๆ ที่ดีขึ้น ลดเสี่ยงโรคอ้วน ห่างไกล NCDs” (Changing Systems, Healthier Lives) ป้องกันโรคอ้วน และโรค NCDs กล่าวว่า โรคอ้วนเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทุกกลุ่มวัย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย จิตใจ สังคม และเศรษฐกิจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs กระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนนโยบายคนไทยห่างไกลโรค NCDs มุ่งเน้นส่งเสริมวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ เช่น การกินอาหารที่เหมาะสม การนับคาร์บ (การนับคาร์โบไฮเดรต หรือการนับคาร์บ เป็นเทคนิคการวางแผนมื้ออาหารของผู้เป็นเบาหวาน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) การพักผ่อนที่เพียงพอ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การป้องกันและควบคุมปัญหาโรคอ้วนนับเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยน 4 ระบบ ได้แก่ 1) เปลี่ยนระบบอาหารในสถานศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น 2) เปลี่ยนการตลาดอาหารให้ลดหวาน มัน เค็ม 3) เปลี่ยนระบบบริการสุขภาพ มีการคัดกรองด้านโภชนาการ เพื่อให้ผู้ที่เป็นโรคอ้วนได้รับการส่งต่อและดูแลอย่างเหมาะสม 4) เปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพิ่มการมีกิจกรรมทางกาย เพื่อลดความเสี่ยงโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในทุกกลุ่มวัย
ทั้งนี้ จะมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มาช่วยทำหน้าที่รณรงค์ขับเคลื่อนให้ประชาชนนับคาร์บเป็น เพื่อคัดกรองด้านโภชนาการ หลังพบตัวเลขประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปจนถึง 59 ปี เป็นโรคอ้วนสูงถึงร้อยละ 42.4 หรือประมาณ 16 ล้านคน ทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียงบประมาณด้านสาธารณสุขจำนวนมหาศาล และยังมีความเสี่ยงเป็นโรค NCDs ที่มาจากโรคอ้วน โดยขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันรณรงค์ป้องกันประชาชนไม่ให้เป็นโรคอ้วนและห่างไกลจากโรค NCDs
จากผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยในเด็กและเยาวชน ปี 2563 พบว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบเด็กเล็กอายุ 1-5 ปี มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน เพิ่มจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 10.6 เด็กวัยเรียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 15.4 นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีเด็กเป็นโรคอ้วนสูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มอาเซียน รองจากมาเลเซียและบรูไน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่ ในขณะที่คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นโรคอ้วนสูงถึงร้อยละ 42.4
โรคอ้วนเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทุกกลุ่มวัย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs: non-communicable diseases ในอนาคต (เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังคือ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งจะมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ค่อยๆ สะสมอาการอย่างต่อเนื่อง) เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ และยังส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่
- ระบบกระดูกและข้อ เกิดขาโก่ง อาจเกิดโรคหัวกระดูกสะโพกเลื่อนและเกิดกระดูกหักได้เวลาล้ม
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด เด็กอ้วนมักมีความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจทำงาน ผิดปกติอาจเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
- ระบบทางเดินหายใจ เกิดการหยุดหายใจขณะนอนหลับ มักนอนกรนเสียงดัง มีอาการปวดศีรษะและง่วงนอนเวลากลางวัน รวมทั้งอาจส่งผลให้การเรียนตกต่ำ บางรายอาจเกิดอาการรุนแรง จะทำให้เกิดความดันหลอดเลือดในปอดสูง
- ระบบทางเดินอาหารและตับ เด็กอ้วนอาจเกิดโรคกรดไหลย้อน โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคไขมันพอกตับ อาจเสี่ยงเกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ
- ระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสม (Metabolism) อาจพบระดับฮอร์โมนอินซูลินในเลือดสูง ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ มักเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าเด็กในวัยเดียวกัน และทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเตี้ย
- สุขภาพจิต เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น การเข้าสังคม การถูกเพื่อนล้อ ถูกบูลลี่เรื่องรูปลักษณ์ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิตอย่างภาวะซึมเศร้า
เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์โรคอ้วน กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย จึงได้จัดงานรณรงค์ภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนระบบใหญ่ เพื่อชีวิตเล็กๆ ที่ดีขึ้น ลดเสี่ยงโรคอ้วน ห่างไกล NCDs” (Changing Systems, Healthier Lives) สร้างความตระหนักและส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายเพื่อลดความเสี่ยงโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง โดยความร่วมมือจากเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
ภาคประชาสังคม ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ ให้เกิดการเปลี่ยน 4 ระบบ ได้แก่
1.เปลี่ยนระบบอาหารในสถานศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น
การส่งเสริมให้มีการจัดอาหารกลางวันได้ตามมาตรฐานทางโภชนาการ ให้มีคุณภาพมากขึ้น กำกับติดตามคุณภาพอาหารกลางวันด้านโภชนาการอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้ด้านโภชนาการกับนักเรียน ครู ผู้ปกครองและแม่ครัว
คัดเลือกอาหารว่างและเครื่องดื่มในสถานศึกษาให้เหมาะสมกับสุขภาพ ลด หวาน มัน เค็ม ตามเกณฑ์โภชนาการ
ส่งเสริมให้สถานศึกษาที่มีการจำหน่ายอาหารกลางวัน ดำเนินการพัฒนา Healthy Canteens
2. เปลี่ยนการตลาดอาหารให้ลดหวาน มัน เค็ม
ส่งเสริมให้มีการพัฒนาสูตรและจำหน่ายอาหาร “ลด หวาน มัน เค็ม”ร้านอาหาร จำหน่าย “เมนูชูสุขภาพ” ร้านเครื่องดื่ม “หวานน้อยสั่งได้”โรงอาหาร/ศูนย์อาหาร พัฒนา Healthy Canteens ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice)
ส่งเสริมการตลาดอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม จำกัดการส่งเสริมตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ หวาน มัน เค็ม เกินเกณฑ์โภชนการ เพื่อปกป้องสุขภาพเด็กไทย
ติดตามการดำเนินการตามประกาศ ศธ. และ สพฐ. ในการทำการตลาดอาหารและเครื่องดื่มในสถานศึกษา
3. เปลี่ยนระบบบริการสุขภาพ มีการคัดกรองด้านโภชนาการเพื่อให้ผู้ที่เป็นโรคอ้วนได้รับการส่งต่อและดูแลอย่างเหมาะสม
สถานศึกษามีการคัดกรองภาวะโภชนาการโดยการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงเด็ก เป็นประจำ สถานบริการสาธารณสุขในพื้นที่ คัดกรองภาวะโภชนาการประชาชน สถานศึกษาร่วมมือกับสถานบริการสาธารณสุขเพื่อคัดกรองและส่งต่อเด็กอ้วนที่เสี่ยงสูงเข้าสู่ระบบการรักษา บุคลากรทางสาธารณสุขให้ความรู้กับครู ผู้ปกครอง ประชาชนเพื่อดูแลพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายของเด็กและตนเอง
4. เปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพิ่มการมีกิจกรรมทางกาย เพื่อลดความเสี่ยงโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในทุกกลุ่มวัย
ส่งเสริมให้มีพื้นที่เพื่อเพิ่มกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวัน ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง มีพื้นที่ทำกิจกรรมทางกายในสถานศึกษา สนับสนุนกิจกรรมกีฬาและชมรมในสถานศึกษา มีสวนสาธารณะและลานกิจกรรมกลางแจ้ง สำหรับเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเล่นกีฬาออกแบบเมืองที่กระตุ้นให้คนเดินมากขึ้น เช่น มีทางเดินเท้าในระบบขนส่งสาธารณะ
มาตรการควบคุมป้องกันและจัดการโรคอ้วนในเด็กแบบองค์รวม
1. จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนประเด็นโรคอ้วนในเด็กเป็นวาระระดับชาติ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนในแต่ละบริบทของภาคส่วนจึงจะประสบความสำเร็จ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม มหาวิทยาลัย และองค์การระหว่างประเทศ โดยความร่วมมือกับภาคเอกชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน
2. กำหนดมาตรการขับเคลื่อน โดยพิจารณาข้อแนะนำตามกรอบการจัดการโรคอ้วนในเด็กขององค์การอนามัยโลกและพิจารณาตามลำดับความสำคัญตามบริบทประเทศไทย รวมทั้งบูรณาการระหว่างนโยบาย
3. เพิ่มขีดความสามารถ สร้างความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนมาตรการระดับชุมชน ท้องถิ่น ทั้งระบบบริหารจัดการ การพัฒนากำลังคน และการมีส่วนร่วมของประชาชน
4. ปลูกฝังให้เด็กมีความฉลาดทางสุขภาพ (Health literacy) ที่เหมาะสมตามวัยเป็นปัจจัยป้องกันในการดำเนินชีวิตให้ห่างไกลโรคอ้วน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ส่งต่อถึงวัยผู้ใหญ่อย่างยั่งยืน
5. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินงานของระบบเฝ้าระวัง เก็บข้อมูล วิเคราะห์ผลติดตาม และเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ปัญหาโรคอ้วนแก้ไขได้โดยการปรับพฤติกรรมการบริโภค กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพในสัดส่วนปริมาณที่เหมาะสม ลดการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง เพิ่มกิจกรรมทางกาย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีพฤติกรรมการบริโภคที่เหมาะสม และมีระบบบริการสุขภาพคัดกรองส่งต่อรักษาโรคอ้วน เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดอ้วน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรค NCDs ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข