ยธ. เร่งตัดรากถอนโคนนักค้ายาเสพติด บูรณาการ 5 หน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพ

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินคดีความผิดฐานสนับสนุน ช่วยเหลือ หรือสมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย​พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส.
นายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ และนายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. นายเจริญวิทย์ เกื้อทิพย์ ประธานแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ นางเมตตา ท้าวสกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดียาเสพติดในศาลอาญา นายพงศ์พิเชษฐ์ จันทรพรกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดียาเสพติด พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม​ ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค ถนนราชปรารภ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 

การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการสืบสวนสอบสวน และขยายผลการจับกุมเครือข่ายการค้ายาเสพติด เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการทำลายเครือข่ายและตัดวงจรทางการค้ายาเสพติดที่อยู่เบื้องหลัง และนำไปสู่การยึด อายัด ทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งจะเป็นการตัดรากถอนโคนนักค้ายาเสพติด เพื่อไม่ให้มีทุนหรือทรัพย์สินที่จะนำมาใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกในภายหลัง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงาน ได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์ในการดำเนินคดี ปัญหาอุปสรรค ตลอดจนแนวทางการรวบรวมพยานหลักฐาน และการพิจารณาคำขออนุมัติแจ้งข้อหา และยังได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมเป็นวิทยากรอภิปรายด้วย

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ผู้บงการการค้ายาเสพติดส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อยู่ในประเทศและข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ในปัจจุบันพบว่า มีผู้ต้องราชทัณฑ์คดียาเสพติดอยู่ประมาณ 200,000 คน โดยร้อยละ 77 เป็นผู้ต้องหาคดีจำหน่ายยาเสพติด ร้อยละ 18 เป็นผู้เสพยาเสพติด แต่ทั้งนี้ผู้เสพยาเสพติดส่วนใหญ่ไปอยู่ในสถานที่คุมประพฤติหรือชุมชน และหลังจากมีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ได้มีการเปลี่ยนวิธีการมองผู้เสพยาเสพติดใหม่ให้มองว่าเป็นผู้ป่วยและเข้าสู่กระบวนการรักษาจากแพทย์มากกว่ากระบวนการยุติธรรม และเน้นไปที่การจัดการกับทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดของผู้ค้ายาเสพติด

พ.ต.อ.ทวี ยังได้เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ระหว่าง สำนักงาน ป.ป.ส. โดย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. สำนักงานอัยการสูงสุด โดย นายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย โดย พล.ท.ณัฐวุฒิ สบายรูป ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญที่จะร่วมกันแก้ปัญหายาเสพติดที่เป็นวาระแห่งชาติ ที่จะพุ่งเป้าไปที่ผู้บงการ ผู้ใช้ ผู้จ้างวาน ผู้ผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพิธีลงนาม 5 หน่วยงานในครั้งนี้ จะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน ปราบปรามยาเสพติดและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตระหนักดีว่ายาเสพติดและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นภัยต่อประชาชนคนไทย และเนื่องจากความเข้มแข็งของการแก้ปัญหาในประเทศ ยาเสพติดจึงถูกผลิตที่ต่างประเทศ และการก่ออาชญากรรมที่พบได้ เช่น ผู้ต้องหาที่มีหมายจับก็จะหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน ฉะนั้นเนื่องจากความผิดนอกราชอาณาจักร โดยอัยการสูงสุดจะเป็นพนักงานสอบสวน ในทางปฏิบัติจะร่วมกับตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษและหน่วยงานต่างๆ จึงจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวนนอกราชอาณาจักร

ประเทศไทยมีงานการข่าวในต่างประเทศที่ค่อนข้างมั่นคง และต้องพัฒนาการข่าวให้มาเป็นพยานหลักฐานเพิ่ม ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด หรือ บช.ปส. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึง ป.ป.ส. ก็ยกระดับที่จะแก้ปัญหายาเสพติด ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องยกระดับของหน่วยงานทั้ง 5 หน่วยงาน เพื่อต่อสู้กับปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ หรือการฉ้อโกงผ่านทางต่างประเทศ

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ต่อไปนี้จะมีการทำงานร่วมกัน จะมีโต๊ะข่าวการปฏิบัติการจะเกิดความเข้มแข็ง และ ป.ป.ส. ได้เพิ่มประสิทธิภาพบุคคลในกระบวนการยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ ดำเนินคดีเกี่ยวกับผู้สนับสนุน ผู้ช่วยเหลือหรือผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ด้วยมาตรการสำคัญคือ มาตรการติดตามทรัพย์สิน เนื่องจากผู้ค้ายาเสพติด มีสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือ การถูกยึดทรัพย์สิน เราจึงยกระดับให้กระบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพ อยู่ภายใต้หลักนิติธรรม แต่ต้องเข้มแข็ง รวดเร็วและสามารถที่จะเกิดความยับยั้งยาเสพติดให้ได้ผลอย่างจริงจัง

ซึ่งสอดคล้องกับเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายรัฐบาลในการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติยุค Digital Disruption เน้นย้ำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างมากและเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยและทั่วโลก การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และจำเป็นต้องมีการประสานงาน การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของผู้ปฏิบัติงานหรือผู้บังคับใช้กฎหมายระหว่างหน่วยงานของรัฐ ให้เพียงพอต่อการนำไปใช้ในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในเชิงรุก เพื่อนำตัวผู้ที่เป็นตัวการสำคัญมาดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิผล

ด้าน เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการยกระดับการประสานงานร่วมกัน ระหว่าง 5 หน่วยงานข้างต้น เพื่อสนับสนุน เสริมสร้างและบูรณาการความร่วมมือระหว่างผู้บังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในเชิงรุก รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ตลอดจนทรัพยากรในการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้สามารถนำผู้กระทำความผิดในรูปแบบองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล โดยไม่มีผลกระทบต่ออำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานในบันทึกความเข้าใจนี้

ซึ่งบันทึกความเข้าใจนี้มีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี นับแต่วันลงนามในบันทึกความเข้าใจนี้ คาดว่าการลงนามในครั้งนี้จะทำให้หน่วยงานภาคีสมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนและนำข้อมูล ความรู้ ทรัพยากรบุคคล เทคโนโลยี งบประมาณ ตลอดจนข้อมูลที่สำคัญของแต่ละหน่วยงานที่ใช้สำหรับการดำเนินคดีกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งสามารถนำกลุ่มผู้กระทำความผิดในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติมาลงโทษได้ อันจะส่งผลให้ลดความสูญเสียในด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากผู้กระทำความผิดดังกล่าว และเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามผู้กระทำความผิดที่ก่อผลเสียให้กับประเทศชาติ เพื่อสร้างความปลอดภัยและเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังได้มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดเชิงรุกจนนำไปสู่ปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดปฏิบัติการดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 พร้อมมอบนโยบายในการดำเนินงานสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความเข้าใจในการปฏิบัติงานและสามารถเร่งรัดการดำเนินงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ในระยะเวลา 6 เดือน (กุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2568)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง