ศธ. เร่งแก้ปัญหาหนี้สินครูวางแนวทางตั้งสหกรณ์กลางต้นแบบ 5 ภูมิภาค ช่วยเหลือครู กลุ่มวิกฤตทั่วประเทศ

นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วม

นายสุรศักดิ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบแนวทางการขอความร่วมมือสถาบันการเงินทุกแห่งในการแจ้งข้อมูลครูที่อยู่ระหว่างกระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีและมีแนวโน้มว่าจะถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย (กลุ่มวิกฤต) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าไปช่วยเหลือและหาแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที  โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ นำโดยนางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ. เป็นผู้ประสานงานไปยังนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดทำหนังสือขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินทุกแห่งในการจัดส่งข้อมูลผู้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีหรือมีแนวโน้มว่าจะถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายอย่างเร่งด่วน เพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามกระบวนการแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา

พร้อมเห็นชอบในการตั้งสหกรณ์กลาง ภูมิภาคละ 1 แห่ง จำนวน 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดกาญจนบุรี ภาคใต้ ตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเหนือ ตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดนครสวรรค์ ภาคตะวันออก ตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดสระแก้ว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดนครราชสีมา นอกจากนี้ ในส่วนกลาง ตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานและเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา
ในแต่ละพื้นที่อย่างเป็นระบบ โดยเน้นการช่วยเหลือครูที่ประสบปัญหาการถูกหักเงินเดือนจนเหลือรายรับสุทธิต่ำกว่าร้อยละ 30 ของเงินเดือน

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการในการยกเลิกคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการชุดเดิม และแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ชุดใหม่ เพื่อดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ สรุปแนวทางและวางแผนแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล ตลอดจนขับเคลื่อนงานให้มีความต่อเนื่องและเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งมอบหมายผู้รับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนฯ ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานคณะกรรมการฯ และมีนางเกศทิพย์ ศุภวานิช เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ในส่วนภูมิภาค ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสถานีแก้หนี้ทุกจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานคณะกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษา (ผอ.สพป.) เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อความคล่องตัวในการขับเคลื่อนฯ ทั้งในส่วนกลางและระดับภูมิภาคอย่างเป็นระบบและครอบคลุมตามบริบทเชิงพื้นที่

ตลอดจนรับทราบในการที่สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินการส่งหนังสือขอแก้ไขพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 ไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีการเสนอให้เพิ่มข้อความ “การหักเงินตามวรรคหนึ่ง หน่วยงานของรัฐต้องคำนึงถึงประโยชน์ในการดำรงชีวิตของสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในหน่วยงานนั้น โดยการหักเงินเพื่อชำระหนี้หรือภาระผูกพันอื่นที่มีต่อสหกรณ์จะต้องคงเหลือเงินเดือนสุทธิของสมาชิกหลังจาก
หักเงินดังกล่าวแล้วไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 30” เป็นวรรคสี่ของมาตรา 42/1 แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 (จากเดิมพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 42/1 ไม่ได้ระบุอัตราขั้นต่ำ  โดยระบุว่า หักเงินเดือนหรือค่าจ้าง ให้แก่สหกรณ์ตามจำนวนที่สหกรณ์แจ้งไป)

รวมทั้งขอแก้ไข ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่ม และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2550 โดยขอให้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมความในข้อ 30 วรรคหนึ่ง “การจ่ายเงิน มิให้ส่วนราชการผู้หักเงินไว้เพื่อการใดๆ เว้นแต่จะมีหนังสือยินยอมจากข้าราชการ หรือผู้มีสิทธิรับบำเหน็จบำนาญ เพื่อชำระเงินให้แก่สหกรณ์ที่จัดตั้งโดยส่วนราชการและค่าสวัสดิการต่างๆ ตามระเบียบว่าด้วยการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ หรือชำระตามข้อผูกพันกับทางราชการเท่านั้น  โดยเพิ่มเติม “ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีพของข้าราชการ การหักเงินดังกล่าวจะต้องคงเหลือเงินสุทธิไม่น้อยกว่าร้อยละ 30” การแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิ ลดผลกระทบ และเพื่อประโยชน์ของข้าราชการในการดำรงชีวิตจากภาระหนี้สิน

สพฐ. ยังได้รายงานในที่ประชุมถึงผลการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรฯ ด้วยว่า จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 มีผู้สมัครเข้าระบบสถานีแก้หนี้ จำนวน 7,762 ราย เป็นครูที่อยู่ในกลุ่มสีแดง
มีเงินเดือนเหลือหรือน้อยกว่า 30% จำนวน 6,250 ราย (มีสถานะถูกฟ้อง 1,030 ราย และไม่ถูกฟ้อง 5,220 ราย) และกลุ่มสีเหลือง มีเงินเดือนมากกว่า 30% จำนวน 1,512 ราย โดยในภาพรวมของปี 2567 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการแก้ไขสำเร็จ จำนวน 1,640 ราย และมีมูลหนี้ที่แก้ไขสำเร็จรวมกว่า 4,920 ล้านบาท โดยวิธีการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ประสานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ย กู้ธนาคารไปชำระหนี้นอกระบบ และทำเรื่องพักชำระหนี้ ส่วนข้อมูลการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูของสถานีแก้หนี้ครูระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ พบว่า มีการแก้ไขให้ครูในกลุ่มสีแดงมีเงินเดือนเหลือเกิน 30% ได้สำเร็จ จำนวน 2,048 ราย และกลุ่มที่กำลังดำเนินการอีก 6,651 ราย อีกทั้งยังพบว่ามีสถานีแก้หนี้ครูระดับเขตพื้นที่ฯ ที่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ 100% มากถึง
40 เขต รวมทั้งสิ้น 655 คน ซึ่งจะเร่งดำเนินการในส่วนที่เหลือให้สำเร็จต่อไป

นายสุรศักดิ์ ระบุว่า การแก้ปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการนั้น เป้าหมายสำคัญคือ การที่กระทรวงศึกษาธิการสามารถติดตามสถานการณ์ ป้องกันไม่ให้ครูต้องประสบปัญหาทางการเงินที่รุนแรงจนถึงขั้นล้มละลาย ตลอดจนวางแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูในระยะยาวอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยเน้นการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของครูที่ประสบปัญหาหนี้สินให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”

ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ สกสค. เดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เริ่มรับตำแหน่งเมื่อ 1 มีนาคม 2567 ปรากฏว่ามีครูและบุคลากรทางการศึกษาที่กู้เงินโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. (การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา) และ ช.พ.ส. (การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเหลือเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาในกรณีที่คู่สมรสถึงแก่กรรม) อยู่จำนวน 334,795 บัญชี เป็นยอดเงินรวมทั้งสิ้น 273,838 ล้านบาท จนมาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 1 ปี มีการประชุมหารือและได้รับความร่วมมือจากธนาคารออมสินเป็นอย่างดี ในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของครูและบุคลากรทางการศึกษาผ่านมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ ดังนี้

กรณีครูและบุคลากรทางการศึกษาขอให้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและลดภาระค่าครองชีพ เนื่องจากเบี้ยประกันคุ้มครองเงินกู้ที่มีอัตราสูงขึ้น สกสค. ได้ดำเนินการให้ธนาคารออมสินช่วยประสานงานกับบริษัทประกันภัย เพื่อลดอัตราค่าเบี้ยประกัน ซึ่งธนาคารออมสินได้มีมาตรการช่วยเหลือโดยการไม่บังคับทำประกันแต่ให้เป็นไปโดยความสมัครใจตามเงื่อนไขของธนาคาร ซึ่งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีการประชุมทำบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมกับธนาคารออมสินในการสรรหาผู้รับประกันสินเชื่อ ให้สมาชิกได้เป็นทางเลือกตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกผู้กู้ โดยความคุ้มครองต้องไม่น้อยกว่ากรมธรรม์เดิม ทั้งนี้ การทำประกันสินเชื่อยังคงให้เป็นไปตามความสมัครใจของสมาชิกเช่นเดิม

ธนาคารออมสินลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับสมาชิกโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. – ช.พ.ส. เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ลดภาระค่าครองชีพแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา สมาชิกโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค.- ช.พ.ส. และสินเชื่อโครงการเกื้อกูลผู้ประกอบวิชาชีพทางการการศึกษา เมื่อวันที่วันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2567 เป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งมีครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับความช่วยเหลือเป็นจำนวน 230,000 ราย สามารถช่วยลดภาระดอกเบี้ยรวมปีละ 1,600 ล้านบาท ตามที่ สกสค. ร้องขอไป

นอกจากนี้ สกสค. ร่วมกับธนาคารออมสินให้ชะลอหรือระงับการฟ้องร้องและบังคับคดี เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ยหรือสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งให้ระงับการคิดดอกเบี้ยทันทีที่ผู้กู้เสียชีวิต โดย สกสค. เปิดให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้รับความเดือดร้อนลงทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ แสดงความจำนงขอเข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และได้ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ซึ่งธนาคารออมสินได้แจ้งผลการพิจารณาให้ทราบว่าได้แก้ไขสำเร็จไปแล้วทั้งสิ้น 8,868 ราย คิดเป็นมูลค่าความช่วยเหลือรวมประมาณ 14,917 ล้านบาท

มาตรการต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ได้รับการตอบรับจากครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นจำนวนมาก และ สกสค. ยังคงเดินหน้าหาแนวทางให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาต่อไปอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของรัฐบาล และพล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในด้าน “ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา” เพื่อให้ครูสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระด้านการเงินเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งความร่วมมือกับธนาคารออมสินนับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ สมาชิกครูและบุคลากรทางการศึกษาสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของ สกสค. ได้ที่ www.otep.go.th / เพจ สกสค. / Line OA : @otep

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ออกมาตรการลดหย่อนหนี้เพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างระยะเวลาปลอดหนี้ และผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ ที่ กยศ. ยังไม่ฟ้องคดี โดยจะได้รับส่วนลดต้นเงิน (เงินต้น) 5 – 10% และส่วนลดเบี้ยปรับ 100% เมื่อชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว โดยผู้กู้ยืมสามารถดูรายละเอียดและลงทะเบียนขอรับสิทธิได้ที่ www.studentloan.or.th ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568

สำหรับมาตรการลดหย่อนหนี้เพื่อจูงใจให้ผู้กู้ยืมชำระเงินคืน กยศ. เป็นมาตรการที่ให้สิทธิประโยชน์ทั้งผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างระยะเวลาปลอดหนี้และผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างชำระหนี้สูงกว่ามาตรการที่ผ่านมา โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างระยะเวลาปลอดหนี้ (ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่สำเร็จการศึกษา) ลดต้นเงิน 10% ของต้นเงินคงเหลือ สำหรับผู้กู้ยืมที่ชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว และส่วนลด 5% ของเงินชำระหนี้ สำหรับผู้กู้ยืมที่ชำระหนี้บางส่วนระหว่างระยะเวลาปลอดหนี้ ที่ได้ชำระหนี้ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 โดยไม่ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและเมื่อหมดระยะเวลามาตรการแล้ว กยศ. จะนำส่วนลดที่ได้ทั้งหมดไปลดหนี้ให้กับผู้กู้ยืม

2. ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ ที่ กยศ. ยังไม่ฟ้องคดี ลดต้นเงิน 10% ของต้นเงินคงเหลือ สำหรับผู้กู้ยืมที่ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้และชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว ลดต้นเงิน 7% ของต้นเงินคงเหลือ สำหรับผู้กู้ยืมที่เคยผิดนัดชำระหนี้ แต่ได้ชำระหนี้จนปัจจุบันอยู่ในสถานะไม่ผิดนัดชำระหนี้ และชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว และลดต้นเงิน 5% ของต้นเงินคงเหลือ ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ยืมที่มีสถานะผิดนัดชำระหนี้และชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว

นายคารม ระบุว่า สำหรับผู้กู้ยืมที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีสามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ที่ www.studentloan.or.th ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งมาตรการลดหย่อนหนี้ไม่รวมผู้กู้ยืมโครงการ Human Capital และไม่รวมกลุ่มผู้กู้ยืมที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้ว โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นการจูงใจให้ผู้กู้ยืมกลับมาชำระเงินคืน กยศ. เพิ่มขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง