“จิราพร” เร่งปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าเชิงรุก ดีเดย์ 30 วันต้องเห็นผล ห่วงเด็กและเยาวชน พบข้อมูลวัยรุ่นหญิงสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มกว่าวัยรุ่นชาย

หลังจากที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดูแลการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายให้กับประชาชนได้เข้าใจอย่างถูกต้อง โดยเริ่มต้นที่การจัดการกับผู้นำเข้า seal ทุกจุด และจับกุมผู้ขายอย่างจริงจัง ตั้งเป้าหมายภายใน 30 วัน ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกรมศุลกากร ในการปราบปรามอย่างเด็ดขาด

(6 มี.ค. 68) นางสาวจิราพร เรียกประชุมหารือแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับ 20 หน่วยงาน ซึ่งเป็นการติดตามความคืบหน้าและสรุปแผนการดำเนินงานตามมาตรการ 3 แนวทางที่ได้จากการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

นางสาวจิราพร เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้กำหนดแผนปฏิบัติการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ด้านการปราบปรามโดยการบังคับใช้กฎหมาย ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า และยุทธศาสตร์ที่ 3 การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมมีการเสนอตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีคณะอนุกรรมการ 3 คณะ ตามยุทธศาสตร์ของแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการปราบปรามการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ปิดกั้นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า กว่า 9,000 แพลตฟอร์ม พร้อมได้หารือกับผู้ประกอบการเพื่อขอความร่วมมือในการปิดกั้น Keyword การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า และขอให้ผู้ประกอบการเร่งทำบัญชีรายชื่อผู้ใช้บริการแพลตฟอร์ม หากพบมีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ต้องปิดกั้นทันที สำหรับผู้ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่ง ต้องติดป้ายประชาสัมพันธ์ ห้ามไม่ให้มีการจัดส่งบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ข้อความตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กำหนด ณ สถานที่ให้บริการทุกแห่ง พร้อมเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้า   กรณีมีเหตุอันควรสงสัย ให้ตรวจสอบโดยวิธีการผ่านเครื่องสแกน และต้องมีการจัดเก็บข้อมูลของผู้ส่งสินค้าไว้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน เพื่อเป็นข้อมูลให้ สคบ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบได้ในกรณีที่มีการร้องขอ

นางสาวจิราพร กล่าวว่า ขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สรุปผลการปราบปราม โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมข้อมูลรายสัปดาห์ และจัดแถลงผลให้ประชาชนรับทราบ ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเห็นการลักลอบผลิต ขายบุหรี่ไฟฟ้า หรือน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ หรือแจ้ง สคบ. ได้ที่สายด่วน 1166 เว็บไซต์ www.ocpb.go.th แอปพลิเคชัน OCPB Connect รวมทั้ง ศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด หรือสายด่วน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร. 1599 หรือ ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ สายด่วน 1212 (ตลอด 24 ชั่วโมง) รวมถึง อีเมล์ 1212@mdes.go.th

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 – 4 มีนาคม 2568 มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 666 คดี โดยมีผู้ต้องหารวม 690 คน ตรวจยึดของกลางได้ทั้งสิ้น 454,958 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 41,911,815 บาท

(7 มี.ค. 68) นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์มาหารือเพิ่มเติม ประกอบด้วย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ปิดผู้ค้าออนไลน์ไปแล้วกว่า 9,000 เพจ เป็นการดำเนินการผ่าน 2 แนวทาง คือ 1) การรับแจ้งเบาะแส และ 2) การ monitor โดยเจ้าหน้าที่จะนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการเฝ้าระวังเพิ่มเติม

นางสาวจิราพร กล่าวด้วยว่า หลังจาก สคบ. ได้เชิญผู้ประกอบการแพลตฟอร์ม และผู้ประกอบการขนส่งมาหารือ เพื่อขอความร่วมมือสกัดกั้นการขายบุหรี่ไฟฟ้าทางออนไลน์ ตนเองจึงต้องการเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ในเชิงลึก เพื่อนำไปประกอบการวางแผนและกำหนดมาตรการต่างๆ ในการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งนี้นอกจากการสอบถามความคืบหน้าการทำงานของหน่วยงานแล้ว ยังได้รับทราบประเด็นปัญหาและอุปสรรค
ต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

(7 มี.ค. 68)  พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปปง.ตร.) แถลงผลการตรวจค้นจับกุมแหล่งซุกซ่อนบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ โดยจับกุมได้ที่บ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี

ทั้งนี้ ช่วงประมาณต้นเดือนมีนาคม 2568 ได้มีพลเมืองดีเข้ามาให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่ามีการขนย้ายบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมากออกจากร้านที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า บริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ข้างเคียง เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเป็นการขนออกเพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจค้นจับกุม ในช่วงที่มีความเข้มข้นในการระดมกวาดล้างการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า จึงได้ทำการสืบสวนติดตามเรื่อยมา จนทราบว่ามีการขนบุหรี่ไฟฟ้านำมาเก็บซุกซ่อนไว้ที่บ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีการใช้สิ่งของปกปิดอำพรางรั้วไว้อย่างมิดชิด จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดนนทบุรี และศาลได้อนุมัติหมายค้น

กระทั่งวันที่ 7 มีนาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบของกลางเป็นบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนหลายยี่ห้อคละกัน ประมาณ 35,600 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และยังตรวจพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปิดร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอีกจำนวนหนึ่ง การปฏิบัติการในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย แจ้งข้อหา “ฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ขายสินค้าที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งห้ามขาย (บุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า)” ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 และ “ซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นสิ่งต้องห้ามนำเข้าในราชอาณาจักร” ตามมาตรา 256 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560

เบื้องต้นหนึ่งในผู้ต้องหาให้การว่า เป็นเจ้าของร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครและรับคำสั่งมาจากผู้สั่งการให้เก็บรักษาบุหรี่ไฟฟ้าของกลางไว้ จากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจะได้มีการขยายผลอย่างต่อเนื่องไปสู่การจับกุมผู้ร่วมขบวนการรายอื่นมารับโทษตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา พื้นที่ใกล้โรงเรียนหรือสถานศึกษา รวมถึงสถานบริการ สถานประกอบการ และพื้นที่สาธารณะในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเอง หรือผู้อื่น สร้างความเดือดร้อน รำคาญแก่ประชาชนใกล้เคียง รัฐบาล โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้ความสำคัญต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าดังกล่าว จึงกำหนดนโยบายให้มีการระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในทุกมิติ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สั่งการให้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วย ระดมกำลังกวาดล้างจับกุมในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และติดตามการขับเคลื่อนให้มีผลการปฏิบัติในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม

(8 มี.ค. 68) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้รายงานสถานการณ์เด็กและเยาวชนไทย โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงมีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่าวัยรุ่นชาย ซึ่งหากปล่อยให้วัยรุ่นหญิงติดบุหรี่ไฟฟ้าจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากกว่าผู้ชาย แม้ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 แสดงอัตราการ “สูบบุหรี่มวน” ของหญิงไทยลดลง
เหลือ 1.3%  แต่เมื่อเทียบกับการสำรวจระดับประเทศ เมื่อปี 2565 พบว่าวัยรุ่นหญิงอายุ 13 – 15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้า 15% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าบุหรี่มวน 10 เท่า ในขณะที่ผู้ชายสูบบุหรี่ไฟฟ้า 20.2% และการสำรวจปีต่อ ๆ มา ในประเทศไทย พบว่า วัยรุ่นหญิงและชายมีอัตราการสูบบุหรี่ที่ใกล้เคียงกัน หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไป จะส่งผลให้อัตราการสูบบุหรี่โดยภาพรวมทั้งบุหรี่ปกติและบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มผู้หญิงเพิ่มสูงอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน

ทั้งนี้ จากข้อมูลยังพบว่า หญิงไทยสูบบุหรี่ทุกรูปแบบ จะมีแนวโน้มเลิกได้ยากกว่าผู้ชาย และที่น่าเป็นห่วงคือ ผลของการเสพติดจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพทุกระบบระยะยาวด้วย ซึ่งเป็นผลจากความแตกต่างของฮอร์โมนเพศหญิงกับชาย จึงมีโอกาสเป็นโรคร้ายที่ระบบอวัยวะอื่นที่มากกว่าผู้ชายด้วย หากเป็นผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ จะทำให้สารพิษทั้งนิโคติน ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และสารอื่นๆ ถูกส่งผ่านระบบทางเดินหายใจของมารดาเข้าไปสู่รก ซึ่งสารพิษเหล่านี้จะทำให้มีการแปรปรวนภายในมดลูก และก่อผลร้ายหลายประการ เช่น การแท้งบุตร การคลอดก่อนกำหนด (ซึ่งทำให้ทารกเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเนื่องจากการทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ ยังไม่สมบูรณ์พอ)

นายอนุกูล กล่าวด้วยว่า การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบัน รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งปราบปราม เน้นย้ำให้ดำเนินตามกฎหมายให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะเป็นรายย่อยหรือรายใหญ่จะต้องจับดำเนินการตามกฎหมายให้หมด ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสงค์จะเลิกสูบบุหรี่ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ https://www.thailandquitline.or.th/site/ หรือ โทร. สายด่วน 1600

ข่าวที่เกี่ยวข้อง