ตามที่เดอะสเตรตไทม์ส สื่อของประเทศสิงคโปร์ รายงานอ้างอิงบทบรรณาธิการของเดอะเนชั่น ซึ่งกล่าวถึงกรณีรัฐบาลเปิดรับการลงทุนและการกู้ยืมเงินจากจีน ภายใต้การผลักดันของรัฐบาลจีนในโครงการเส้นทางสายไหม หรือ Belt and Road โดยมีประเด็นกังวลว่าประเทศไทยจะซ้ำรอยกับประเทศอื่นๆ ที่เคยรับความช่วยเหลือและพึ่งพาจีน ในการกู้ยืมเงินจากจีนกลายเป็นภาระหนี้สินจำนวนมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมของจีนนั้นสูงกว่าการกู้ยืมจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศนั้น
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีการตกลงและผูกพันสัญญาใดๆ และยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาร่างสัญญาเงินกู้และเงื่อนไขเงินกู้ของรัฐบาลจีน ซึ่งในการเจรจาได้มีการระบุไว้ชัดเจนในกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีการบันทึกผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนว่า รัฐบาลไทยจะกู้เงินจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน หากมีเงื่อนไขเงินกู้ที่ดีกว่าหรือมีต้นทุนที่ถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งเงินกู้อื่น ซึ่งกระทรวงการคลังจะพิจารณาเงื่อนไขเงินกู้เปรียบเทียบกับต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลที่กู้จากแหล่งเงินในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแหล่งเงินกู้ทางการอื่นๆ ด้วยสำหรับการดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพ-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา) เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟและการคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยรัฐบาลจีนจะสนับสนุนด้านการศึกษาโครงการ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และเป็นผู้รับจ้างในการก่อสร้าง ส่วนรัฐบาลไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งโครงการ และใช้แหล่งที่มาของเงินลงทุนโครงการจากงบประมาณและเงินกู้ภายในประเทศเป็นหลักส่วนการกู้เงินจากรัฐบาลจีนจึงเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของแหล่งเงินเท่านั้น
ที่มา : กระทรวงการคลัง