กรมควบคุมโรค ร่วมกับเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายป้องกันการจมน้ำในประเทศไทย

การจมน้ำ สาเหตุการเสียชีวิตในเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม เป็นเดือนที่เด็กจมน้ำเสียชีวิตมากที่สุด เพราะตรงกับช่วงปิดเทอมและอยู่ในฤดูร้อน

ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมเป็นช่วงปิดเทอมและเข้าสู่ฤดูร้อน จะพบเด็กจมน้ำเสียชีวิตตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเป็นจำนวนมาก สถานที่เกิดเหตุส่วนใหญ่เป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติ จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค ปี 2561 – 2566 พบว่าผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการจมน้ำส่วนใหญ่ เกิดเหตุในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ช่วงฤดูน้ำหลากเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม และช่วงปิดเทอมฤดูหนาว เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมการลงเล่นน้ำ หรือพลัดตกลงไปในแหล่งน้ำแล้วขาดทักษะในการว่ายน้ำและการเอาชีวิตรอด ผู้เสียชีวิตไม่สวมใส่เสื้อชูชีพหรืออุปกรณ์ช่วยลอยตัว ขาดการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครอง แหล่งน้ำที่เป็นแหล่งเสี่ยงตามธรรมชาติที่อยู่ในชุมชน ส่วนใหญ่ไม่มีการจัดการให้เกิดความปลอดภัย เช่น การกั้นรั้ว การปักป้ายเตือน การติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน  ขาดทักษะในการช่วยชีวิตที่ถูกต้อง และการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุล่าช้า

องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ทั่วโลกการจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับ 2

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ทั่วโลกการจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี รองจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยเฉลี่ยเสียชีวิตจากการจมน้ำปีละ 145,739 คน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุ 5 – 14 ปี พบว่า การจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1

ประเทศไทยในช่วงปี 10 ปีที่ผ่านมา (ปี พ.ศ. 2557 – 2566) พบผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำ 36,500 คน โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 6,703 ซึ่งการจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของเด็กไทย เฉลี่ยในทุกๆ วัน จะสูญเสียเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จากการจมน้ำถึงวันละ 2 คนในช่วงฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม) ปี 2567 ที่ผ่านมา พบเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิต 173 คน (ปี 2566 จำนวน 205 คน) กลุ่มอายุ 10 – 14 ปี เสียชีวิตมากที่สุด (ร้อยละ 39.3) สาเหตุเกิดจากการเล่นน้ำมากที่สุด (ร้อยละ 72.3) แหล่งน้ำที่เกิดเหตุสูงที่สุด คือ แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ (บ่อขุด สระน้ำ คลอง แม่น้ำ) (ร้อยละ 72.3) ช่วงเวลา 12.00 – 17.59 น. เกิดเหตุสูงที่สุด (ร้อยละ 65.1) เกือบทั้งหมดไม่สวมเสื้อชูชีพ (ร้อยละ 97.3) เด็กที่จมน้ำส่วนใหญ่เสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ (ร้อยละ 65.1) จังหวัดที่มีจำนวนการเสียชีวิตสูงที่สุด คือ นครราชสีมา (13 คน) ปัตตานี (9 คน) ศรีสะเกษ และ อุดรธานี (จังหวัดละ 8 คน)

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประชุมร่วมกับ 13 ประเทศ หารือการดูแลเด็กระหว่างวันและ
การป้องกันการจมน้ำ

นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค ประชุมร่วมกับ 13 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บังกลาเทศ ภูฏาน กัมพูชา อินเดีย เมียนมา เวียดนาม เนปาล แอฟริกาใต้ สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกาและประเทศไทย เพื่อหารือเรื่องการดูแลเด็กระหว่างวันและสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง เนื่องจากการจมน้ำเป็นปัญหาสาธารณสุข  ที่สำคัญในระดับโลก จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ปี 2564 พบว่าทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำปีละ 300,250 คน มากกว่าร้อยละ 50 เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มอายุต่ำกว่า 5 ปี มีอัตราการจมน้ำเสียชีวิตสูงที่สุด รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 5-14 ปี และจากการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UN) เมื่อปี 2564 และสมัชชาอนามัยโลก (WHA) เมื่อปี 2566 ได้มีมติเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกและหน่วยงานต่างๆ เร่งดำเนินงานป้องกันการจมน้ำ

ประเทศไทย ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำเฉลี่ย 3,651 คน หรือวันละกว่า 10 คน โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เฉลี่ยปีละ 669 คน หรือวันละ 2 คน กรมควบคุมโรค จึงร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน มูลนิธิ และจิตอาสา ดำเนินการป้องกันเด็กจมน้ำมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549

อย่างไรก็ตาม อัตราการจมน้ำเสียชีวิตยังคงสูงมาก เมื่อเทียบกับค่าเป้าหมายในแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี โดยภายในปี 2580 ต้องลดการเสียชีวิตจากการจมน้ำในเด็ก ให้ไม่เกินปีละ 290 คน หรือ 2.5 ต่อประชากรเด็กแสนคน ประเทศไทยได้พัฒนากลยุทธ์ผู้ก่อการดีป้องกันการจมน้ำ หรือ MERIT MAKER มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 โดยนำมาใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของชุมชน หัวใจสำคัญคือความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ร่วมกัน

กรมควบคุมโรค ร่วมกับเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายป้องกันการจมน้ำในประเทศไทย ตามข้อเสนอของสหประชาชาติ

สมัชชาสหประชาชาติมีมติเรื่อง “Global Drowning Prevention” อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 25 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น “วันป้องกันการจมน้ำโลก (World Drowning Prevention Day)” และเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาการจมน้ำที่มีประสิทธิภาพ

นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำตามข้อเสนอของสหประชาชาติ ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ภายใต้คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ (กปอ.) โดยคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้ ประกอบด้วยหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 30 หน่วยงาน

นายแพทย์ดิเรก กล่าวว่า จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) พบว่า การจมน้ำเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของทั่วโลก ในแต่ละปีทั่วโลกมีคนจมน้ำเสียชีวิตปีละประมาณ 300,000 คน โดยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีสัดส่วนการเสียชีวิตจากการจมน้ำมากที่สุด (ร้อยละ 24 ของการเสียชีวิตจากการจมน้ำทั้งหมด) รองลงมา คือ เด็กอายุ 5 – 14 ปี (ร้อยละ 19) และเยาวชนอายุ 15 – 29 ปี (ร้อยละ 14)

สำหรับประเทศไทย จากข้อมูลมรณบัตร กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี พ.ศ. 2557 – 2566) พบผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำ 36,500 ราย เป็นกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 6,703 คน ในทุกๆ วันจะสูญเสียคนไทยจากการจมน้ำถึงวันละ 10 คน โดยเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 2 คน

  • แนวโน้มการเสียชีวิตจากการจมน้ำของประเทศไทยในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ลดลง (มากกว่าร้อยละ 50) ภายหลังจากที่ทุกหน่วยงานร่วมกันดำเนินงาน
  • แต่กลับพบว่า การจมน้ำในกลุ่มผู้ใหญ่ไม่ได้ลดลง โดยในกลุ่มอายุ 50 – 69 ปี มีสัดส่วนการเสียชีวิตจากการจมน้ำมากที่สุด (ร้อยละ 34 ของการเสียชีวิตจากการจมน้ำทั้งหมด) รองลงมาคือ กลุ่มอายุ
    30 – 49 ปี (ร้อยละ 29) 

สำหรับการประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้าและผลักดันให้มีการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำของประเทศไทยในประเด็นที่สำคัญ เพื่อให้สอดรับกับมติของสหประชาชาติ และลดอัตราการเสียชีวิตจากการจมน้ำ ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การป้องกันการจมน้ำโลก ปี 2567 (Global status report on drowning prevention 2024) พบว่า ในส่วนของประเทศไทยมีบางเรื่องที่สามารถพัฒนาเพิ่มขึ้นได้อีก เช่น หลักสูตรการว่ายน้ำและความปลอดภัยทางน้ำที่บรรจุในโรงเรียน การติดตั้งสิ่งกีดขวางเพื่อจำกัดการเข้าถึงแหล่งน้ำ การมีเจ้าหน้าที่ Lifeguard ประจำบริเวณสระว่ายน้ำสาธารณะ การมีโปรแกรมการฝึกอบรมการช่วยเหลือและการกู้ชีพ การรณรงค์ให้ตระหนักถึงอันตรายจากการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนหรือขณะทำกิจกรรมทางน้ำ รวมถึงประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการกั้นรั้วรอบสระว่ายน้ำ

เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเร่งดำเนินการในประเด็นที่องค์การอนามัยโลกให้ข้อเสนอแนะไว้ รวมถึงดำเนินการตามมติสหประชาชาติและที่สำคัญสุดคือ เพื่อลดการเสียชีวิตจากการจมน้ำของประเทศไทย
ใน 3 เรื่องสำคัญ คือ 1) เสื้อชูชีพ 2) เจ้าหน้าที่ชีวพิทักษ์ (Lifeguard) และ 3) การป้องกันการจมน้ำในเด็กโดยเด็กอายุ 6 ปี ต้องสามารถว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดได้ และเด็กอายุ 12 ปี สามารถ CPR ได้

ทั้งนี้ ยังร่วมกันพิจารณาข้อเสนอในการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2568 เพื่อมุ่งเน้นการลดการเสียชีวิตจากการจมน้ำในกลุ่มอายุ 15 ปี ขึ้นไป และการเพิ่มโอกาสในการป้องกันการจมน้ำกลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และเด็กออทิสติก เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม/เสมอภาคทางสังคม ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)

มาตรการป้องกันการจมน้ำในครอบครัว ชุมชน โรงเรียน

มาตรการป้องกันการจมน้ำในครอบครัว

  • ผู้ปกครอง/ผู้ดูแลเด็กต้องดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยเด็กไว้ตามลำพัง เช่น ขณะรับโทรศัพท์ ทำกับข้าว หรือเดินไปเปิด-ปิดประตูบ้าน โดยต้องอยู่ในระยะที่มองเห็น คว้าถึงและเข้าถึง
  • ทุกครัวเรือนที่มีเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ควรใช้คอกกั้นเด็กหรือกำหนดพื้นที่เล่นปลอดภัย (Playpen) ให้แก่เด็ก ไม่ให้เด็กเข้าถึงแหล่งน้ำ
  • เทน้ำทิ้งจากภาชนะทุกครั้งหลังใช้งาน หรือหาฝาปิด เช่น ถังน้ำ กะละมัง โอ่งน้ำ หรือฝังกลบแอ่งน้ำ ที่ไม่ได้ใช้งาน ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นน้ำเองตามลำพัง แม้ในกะละมัง ถังน้ำ โอ่ง สระว่ายน้ำ ชายหาด
  • สอนให้เด็กรู้จักกฎความปลอดภัยทางน้ำ เช่น ไม่เล่นใกล้แหล่งน้ำ รู้จักประเมินสภาพแหล่งน้ำที่จะลงไป (ความลึก ความตื้น ความชัน ความเย็น กระแสน้ำ)
  • สอนให้เด็กรู้วิธีการว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดและวิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง

มาตรการป้องกันการจมน้ำในชุมชน

  • สำรวจแหล่งน้ำเสี่ยงในชุมชน และจัดการแหล่งน้ำเพื่อให้เกิดความปลอดภัย เช่น ติดป้ายคำเตือน สร้างรั้ว ฝังกลบหลุมบ่อที่ไม่ได้ใช้ จัดให้มีอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำที่หาได้ง่ายบริเวณแหล่งน้ำเสี่ยง (ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า ขวดน้ำพลาสติกเปล่า ไม้ เชือก)
  • เฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยในชุมชน เช่น ประกาศเสียงตามสาย คอยตักเตือนเมื่อเห็นเด็กเล่นน้ำตามลำพัง
  • มีมาตรการ/กฎระเบียบ/ข้อบังคับ เช่น ต้องใส่เสื้อชูชีพเมื่อโดยสารเรือ ห้ามดื่มสุราก่อนลงเล่นน้ำ กำหนดให้มีบริเวณเล่นน้ำที่ปลอดภัย และแยกออกจากบริเวณสัญจรทางน้ำ กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ (Lifeguard) ดูแลแหล่งน้ำ
  • สอนให้เด็กรู้จักแหล่งน้ำเสี่ยงและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
  • สอนให้คนในชุมชนรู้จักวิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำหรือจมน้ำเบื้องต้น และวิธีการปฐมพยาบาลเด็กจมน้ำที่ถูกวิธี (โดยเน้นว่าห้ามจับเด็กที่จมน้ำอุ้มพาดบ่า แต่ให้ใช้วิธีการเป่าปากและนวดหัวใจ)

มาตรการป้องกันการจมน้ำในโรงเรียน

  • จัดการแหล่งน้ำในโรงเรียนเพื่อให้เกิดความปลอดภัย เช่น ติดป้ายคำเตือน สร้างรั้ว ฝังกลบหลุมบ่อที่ไม่ได้ใช้ จัดให้มีอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำที่หาได้ง่ายบริเวณแหล่งน้ำเสี่ยง (ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า ขวดน้ำพลาสติกเปล่า ไม้ เชือก)
  • ห้ามให้เด็กเล่นน้ำในแหล่งน้ำที่อยู่ในโรงเรียน
  • สอนให้เด็กเรียนรู้กฎแห่งความปลอดภัยทางน้ำ เช่น ไม่เล่นใกล้แหล่งน้ำ ไม่เล่นคนเดียว ไม่แกล้งจมน้ำ ไม่ดื่มสุรา ไม่เล่นน้ำตอนกลางคืน รู้จักแหล่งน้ำเสี่ยง รู้จักใช้ชูชีพหรืออุปกรณ์ลอยน้ำได้เมื่อต้องโดยสารเรือหรือทำกิจกรรมทางน้ำ
  • รู้จักการเอาชีวิตรอดในน้ำ และเรียนรู้วิธีการใช้อุปกรณ์ที่สามารถลอยน้ำได้ ที่หาได้ง่าย เช่น ถังแกลลอน ขวดน้ำพลาสติกเปล่า เป็นต้น
  • รู้วิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำที่ถูกต้อง คือ “ตะโกน โยน ยื่น” โดยเมื่อพบคนตกน้ำต้องไม่กระโดดลงไปช่วย แต่ควรตะโกนขอความช่วยเหลือ โทรแจ้ง 1669 และหาอุปกรณ์โยนหรือยื่นให้คนตกน้ำจับเพื่อช่วย เช่น ไม้ เชือก ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า ขวดน้ำพลาสติกเปล่า เป็นต้น รวมถึงวิธีการปฐมพยาบาลคนจมน้ำที่ถูกต้อง
  • รู้วิธีการใส่เสื้อชูชีพ และใช้อุปกรณ์อย่างง่ายในการช่วยลอยน้ำ เช่น ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า ขวดน้ำพลาสติกเปล่า

ทั้งนี้ ประชาชนที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร. 1422

ขอบคุณข้อมูลจาก กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค

ข่าวที่เกี่ยวข้อง