นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เชิญชวนคนพิการที่ต้องการมีงานทำ เพื่อใช้ศักยภาพของตนเองสร้างอาชีพและรายได้ สมัครเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐและเอกชน ซึ่งตามกฎหมายแล้วสถานประกอบภาคเอกชนและหน่วยงานของรัฐที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องรับคนพิการเข้าทำงาน โดยสัดส่วนของการรับ ดังนี้
- มีลูกจ้างที่ไม่ใช่คนพิการ 100 คน ต่อคนพิการ 1 คน เศษของ 100 ถ้าเกิน 50 คน ต้องรับคนพิการเพิ่มขึ้นอีก 1 คน เช่น มีลูกจ้าง 151 คน จะต้องจ้างคนพิการ 2 คน
- สถานประกอบการที่มีหน่วยงานหรือสำนักงานสาขาในจังหวัดเดียวกัน ให้นับรวมลูกจ้างทุกแห่งเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ การนับจำนวนลูกจ้างให้นับทุกวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี
โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้สนับสนุนและขยายโอกาสการจ้างงานคนพิการให้มากขึ้น โดยในปี 2566 – 2567 มีการจ้างงานคนพิการแล้ว 39,910 คน ล่าสุดได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการมีงานทำสำหรับคนพิการร่วมกับสถานประกอบการชั้นนำ 21 แห่ง เช่น เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป ,โอสถสภา, บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, พีทีจี เอ็นเนอยี และหัวเหว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) เพื่อจ้างงานคนพิการในปี 2568 จำนวน 2,700 คน ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้กว่า 2,300 ล้านบาท คนพิการที่จะได้รับการจ้างงานจะต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถทำงานได้ทุกประเภทความพิการ และได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละพื้นที่
สิทธิประโยชน์ที่คืนให้กับสถานประกอบการ
- สถานประกอบการที่จ้างคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ จะได้รับการยกเว้นภาษี 2 เท่า ของรายจ่ายเนื่องจากการจ้างงานคนพิการ และยกเว้นภาษีได้ 3 เท่า หากจ้างงานคนพิการเกินกว่า 60% ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด และจ้างเกิน 180 วันในปีภาษี หรือระยะเวลาบัญชีที่มีรายได้
- หากสถานประกอบการหรือหน่วยงานเลือกส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเป็นรายปีแทนการจ้างงาน จะได้รับการยกเว้นภาษีเท่าจำนวนที่ส่งเงินเข้ากองทุน ถ้าไม่นำส่งเงิน ส่งล่าช้า หรือส่งไม่ครบ จะต้องเสียเบี้ย 7.5% ของเงินที่ยังไม่ได้นำส่งต่อปี
- หากสถานประกอบการเลือกจัดสัมปทาน หรือส่งเสริมอาชีพ 7 กรณีแทนการจ้างงาน สามารถยกเว้นภาษีเท่ากับที่มีค่าใช้จ่าย (เฉพาะบางประเภท)
- สำหรับคนพิการที่ต้องการทำงาน ติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ “ไทยมีงานทำ” หรือ ไทยมีงานทำ.doe.go.th
สิทธิการจ้างงานคนพิการ
มาตรา 33 การจ้างงานคนพิการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 มาตรา 33 กฎหมายระบุให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐ ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ให้รับคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการสามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดเข้าทำงานในอัตราส่วน 100 : 1
มาตรา 34 ส่งเงินเข้ากองทุน นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ได้รับคนพิการเข้าทำงานตามที่กำหนด ให้ดำเนินการส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามค่าแรงขั้นต่ำของประเทศ (ค่าแรงขั้นต่ำ X 365 วัน X จำนวนคนพิการที่ไม่ได้รับเข้าทำงาน) ต้องยื่นแบบรายงานไม่เกิน 31 มีนาคม ของทุกปี หากนำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ล่าช้า หรือส่งไม่ครบ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องเสียดอกเบี้ย 7.5% ของเงินที่ค้างส่งต่อปี
มาตรา 35 จัดส่งเสริมอาชีพ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตามมาตรา 34 สามารถให้การส่งเสริมอาชีพในรูปแบบอื่นๆ โดยสิทธิตามมาตรา 35 คือ สัมปทาน ได้แก่ การจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ การจัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการ
การฝึกงาน จัดให้มีอุปกรณ์/สิ่งอำนวยความสะดวก การจัดให้มีบริการล่ามภาษามือ การให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปิดโครงการการขยายผลเครือข่ายอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาศักยภาพคนพิการ เพื่อประกอบอาชีพผ่านโมเดลการฝึกอบรม-ฝึกงานคนพิการ (HigherEd for PWD) ระยะที่ 1 ภายใต้ความร่วมมือของกระทรวง พม. กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในฐานะมหาวิทยาลัยเจ้าภาพ และมหาวิทยาลัยเครือข่าย 5 แห่ง ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยสวนดุสิต (วิทยาเขตสุพรรณบุรี) พร้อมปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “โอกาสของคนพิการกับการจ้างงานคนพิการตามสมรรถนะ”
นายวราวุธ กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายสำคัญเร่งด่วน ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สำคัญ ได้แก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ บุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ เพื่อให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐได้โดยสะดวกตามที่กฎหมายบัญญัติ ที่ผ่านมา กระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อนงานเพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงสวัสดิการที่เหมาะสมและมีความมั่นคงในชีวิต โดยเร่งต่อยอดงานที่ดำเนินการมาแล้ว พร้อมกับเร่งพัฒนางานใหม่ เพื่อความต่อเนื่อง ผ่านนโยบาย “5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร” ซึ่งมียุทธศาสตร์หนึ่งที่มุ่งเพิ่มโอกาสและเสริมสร้างคุณค่าคนพิการ ด้วยการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา รวมถึงผลักดันการจ้างงานคนพิการในทุกภาคส่วน โดยที่ความพิการไม่เป็นข้อจำกัด เมื่อปี 2566 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวง พม. ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) การทดลอง นำร่องการสนับสนุนสถานศึกษาเพื่อกระจายการเพิ่มศักยภาพของคนพิการ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยเครือข่าย 5 แห่ง
จากนั้นได้ดำเนินโครงการการขยายผลเครือข่ายอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาศักยภาพคนพิการ เพื่อประกอบอาชีพผ่านโมเดลการฝึกอบรม-ฝึกงานคนพิการ มจธ. (HigherEd for PWD) ระยะที่ 1 เดือนมีนาคม 2567 – มีนาคม 2568 โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวง พม. ซึ่งมีการดำเนินการสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่
1. เตรียมความพร้อมการฝึกอบรมคนพิการให้แก่มหาวิทยาลัยเครือข่าย
2. จัดฝึกอบรมคนพิการในแต่ละมหาวิทยาลัย และจัดกิจกรรม Career Connect เชื่อมโยงระหว่างคนพิการกับผู้ประกอบการ โดย มจธ. และมหาวิทยาลัยเครือข่าย ออกแบบหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษาและสถานประกอบการในพื้นที่ เพื่อฝึกงานและเตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับความต้องการจ้างงาน ภายหลังคนพิการฝึกอบรมและผ่านการรับรองการผ่านหลักสูตร ทางสถานประกอบการจะต้องจ้างคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 สามารถพัฒนาศักยภาพคนพิการเพื่อการประกอบอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ ทั้งรูปแบบการเข้าทำงานในสถานประกอบการและการประกอบอาชีพอิสระ รวมจำนวน 252 คน จากเป้าหมาย 300 คน คิดเป็นร้อยละ 84 (ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2568) ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถและศักยภาพของคนพิการที่มีโอกาสในการทำงาน
ปี 2567 ได้มีการจัดบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 โครงการนำร่องการสนับสนุนให้สถานศึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพของคนพิการและยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการ ระยะที่ 2 ระหว่าง กระทรวง พม. กับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อสนับสนุนมหาวิทยาลัย เจ้าภาพและมหาวิทยาลัยเครือข่าย สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ในการเสริมสร้างความรู้ ทักษะและพัฒนาศักยภาพคนพิการ ผู้ดูแลคนพิการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการประกอบอาชีพ การฝึกอบรมและการฝึกงาน อีกทั้งส่งเสริมและพัฒนางานวิจัย การสร้างนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการส่งเสริมการทำงานแก่คนพิการ เพื่อรวมถึงการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาของนักศึกษาพิการที่อยู่ระหว่างการศึกษาและสำเร็จการศึกษา
สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนโครงการในระยะ 2 ประกอบด้วย 5 กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ 1.พัฒนาหลักสูตรสำหรับการศึกษาเพื่อการมีงานทำของคนพิการ ได้รับใบประกาศนียบัตรจากสถาบันการศึกษา โดยศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการเป็นหน่วยงานสนับสนุน 2. ส่งเสริมและพัฒนาคนพิการเพื่อประกอบอาชีพอาชีพอิสระ อาทิ Food Truck เพื่อเป็นอาชีพทางเลือกให้กับคนพิการที่มีศักยภาพ เปิดพื้นที่ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คนพิการ 3.ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของคนพิการ 4.พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อการดูแลพัฒนาศักยภาพคนพิการ และ 5. พัฒนาศักยภาพคนพิการสู่การเป็นคนพิการต้นแบบเพื่อสังคม
ทั้งนี้ การดำเนินการตาม MOU จากระยะที่ 1 มาสู่ ระยะที่ 2 นั้น ความสำเร็จส่วนหนึ่ง คือ “โอกาสของคนพิการกับการจ้างงานคนพิการตามสมรรถนะ” โดยมีกลไกมหาวิทยาลัยเครือข่ายนำร่อง ในระยะที่ 1 เป็นพี่เลี้ยงหรือหน่วยสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยใหม่ๆ ที่เข้าร่วมในระยะที่ 2 เกิดการกระจายโอกาสให้คนพิการทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้คนพิการมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ