นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานเผยแพร่ยุทธศาสตร์และนโยบายส่งเสริมการลงทุน ในหัวข้อ “Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดร.นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย นายชัย วัชรงค์ ผู้แทนการค้าไทย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์การลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบันมีความท้าทายเป็นอย่างมาก การลงทุนใหม่ๆ เป็นเรื่องที่ท้าทาย ทุกคนที่อยู่ในวงการธุรกิจ ทั้งภาครัฐและเอกชนทราบดีว่า การหาช่องทางให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยค่อย ๆ เติบโตขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอ รัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่านี้ โดยพยายามดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้กับประเทศ
ในฐานะผู้นำรัฐบาลต้องพยายามเปลี่ยนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ให้เป็นโอกาสของประเทศให้ได้ การที่จะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน รัฐบาลมีความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลกให้รับรู้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน เป็นประเทศแห่งโอกาส มีความพร้อมทั้งด้านทรัพยากรและศักยภาพของบุคลากร สิ่งที่สำคัญคือ รัฐบาลต้องสร้างโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นว่า การลงทุนในประเทศไทยมีความมั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ปัจจุบันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลกำลังผลักดันโครงการหลายโครงการ เช่น รถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อภาคใต้เข้าสู่ศูนย์กลางทางการค้าและบริการ การอนุมัติการลงทุนในรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีม่วงใต้เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯ ชั้นนอกกับชั้นในและรถไฟความเร็วสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือระยะที่สอง เพื่อเชื่อมการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยในระดับภูมิภาค การสร้างเส้นทางรถไฟต่างๆ จะเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างมาก ทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เริ่มโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 มีมูลค่าการลงทุนเบื้องต้นกว่า 1.5 แสนล้านบาท และขยายการใช้บริการของท่าอากาศยานทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค เป็นโครงการที่สำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย อีกหนึ่งโครงการที่สำคัญคือ โครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) จะเชื่อมต่อทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค โครงการนี้ได้รับความสนใจจากผู้นำของประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก หากโครงการนี้สำเร็จ จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากมายให้กับประเทศไทย ทั้งในด้านการท่องเที่ยว การค้า และการสร้างงาน อีกทั้ง รัฐบาลยังวางแผนเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา อย่างกรณีสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น มีแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ สร้างกำแพงกั้นน้ำในพื้นที่ต่างๆ ที่เกิดน้ำท่วม ขอย้ำว่าการลงทุนกับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนสำคัญกว่าทุกเรื่อง
รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และอากาศยานของภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการค้าและการลงทุนของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยพยายามสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
นอกจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่แล้ว ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลและธุรกิจแห่งอนาคต รัฐบาลออกนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร โดยการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษาในสาขาเทคโนโลยีดิจิทัล ตามนโยบาย ODOS (One District One Scholarship) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับคนไทยในสาขาที่ประเทศยังขาดแคลน เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านทักษะ ความสามารถประกอบอาชีพและสร้างรายได้ที่ดี พร้อมดึงดูดบุคลากรจากทั่วโลกเข้ามาทำงานในประเทศไทย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย พร้อมทั้งวางแผนที่จะผลิตบุคลากรด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้นมากกว่า 80,000 คน
รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงบรรยากาศการลงทุนให้ง่ายและน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและสร้างระบบบริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว สำหรับภาคการผลิตของประเทศไทยซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ อาทิ ภาคเกษตร อาหาร บริการ ท่องเที่ยว และการแพทย์ ได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมเหล่านี้ โดยใช้การผสมผสานเทคโนโลยีและภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของไทย เช่น ครัวไทยสู่ครัวโลก เน้นการสร้างความเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย รัฐบาลได้ผลักดันการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาในระดับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 และในบางจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก ตัวเลขนักท่องเที่ยวได้เกินกว่าช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว เป็นสัญญาณที่ดีว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าจดจำยิ่งขึ้น อาทิ เทศกาลมหาสงกรานต์ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน เป็นกิจกรรมสำคัญที่รัฐบาลให้การสนับสนุน และจะมีการจัดกิจกรรมตลอดทั้งเดือน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยในทุกภูมิภาค โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะมีการเผยแพร่แผนที่แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจทั่วประเทศ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีทางเลือกที่หลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลัก และเร่งขับเคลื่อนเมืองน่าเที่ยวอื่นๆ ให้เป็นที่รู้จัก ประชาสัมพันธ์ให้รู้ว่าประเทศไทยเที่ยวได้ทั้งปี โดยล่าสุด ประเทศไทยได้สร้างสถิติใหม่ในการส่งเสริมการลงทุน มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1.13 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ได้ทำงานอย่างหนักในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน หากร่วมมือกันสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี จะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป