จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ 5 กระทรวงบูรณาการทำงานร่วมกันบริหารจัดการผลไม้ที่มีแนวโน้มผลผลิตเพิ่มขึ้นในปีนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาดราคาตกต่ำ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำชับให้ดูแลคุณภาพผลไม้ไทยให้มีมาตรฐานมีความปลอดภัยและได้มาตรฐานการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ส่งเสริมการตลาดการบริโภคภายในประเทศและขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม กระทรวงการต่างประเทศ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน ในการอำนวยความสะดวกการนำเข้าทุเรียนจากไทย กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาขยายระยะเวลาเปิด-ปิดด่านทางบก ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านไปยังจีน และกระทรวงคมนาคม เตรียมพร้อมด้านระบบขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่กำกับดูแลไปรษณีย์ไทยจัดทำโครงการที่ช่วยส่งผลไม้จากสวนไปยังผู้บริโภคโดยตรงและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสนับสนุนอีกด้วย
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นอำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี และอำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด เพื่อร่วมรับฟังปัญหาในพื้นที่และแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรในทุกมิติ เพื่อยกระดับรายได้ และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับเกษตรกร ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนร่วมกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการแก้ไขปัญหาด้านการส่งออกผลไม้ของไทย โดยทางการจีนมีท่าทีพึงพอใจกับการปรับใช้มาตรการดูแลผลไม้ส่งออกของไทย โดยหลังจากนี้ จะมีการเจรจากับทางการจีนเพิ่มเติม เพื่อขอให้ช่วยปลดล็อกการขนส่งผลไม้ทุกชิปเม้น (การขนส่งสินค้าทางเรือ) ของประเทศไทย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้วางแผนจัดทำโรงงานแปรรูปยางพาราของจังหวัดจันทบุรี เพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรในพื้นที่ให้ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ
จังหวัดตราด เป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกผลไม้ที่สำคัญและมีชื่อเสียง ได้แก่ เงาะ ทุเรียน มังคุด โดยคาดการณ์ผลผลิต ที่จะออกสู่ตลาดในปีนี้ ดังนี้
1. ทุเรียนพื้นที่เพาะปลูก 126,718 ไร่ คาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากสุดเดือนเมษายน 2568 จำนวนผลผลิต 132,237 ตัน
2. เงาะ พื้นที่เพาะปลูก 47,190 ไร่ คาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากสุดเดือนพฤษภาคม 2568 จำนวนผลผลิต 107,490 ตัน
3. มังคุด พื้นที่เพาะปลูก 39,701 ไร่ คาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากสุดเดือนพฤษภาคม 2568 จำนวนผลผลิต 50,261 ตัน
ด้านนายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการประชุมและมอบนโยบายการส่งออกผลไม้แก่ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ภาคตะวันออกฤดูกาลผลิตปี 2568” ในพื้นที่ภาคตะวันออก ณ อ.เมือง จ.จันทบุรี ซึ่ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายในการกำกับดูแลผลไม้ให้เป็นไปตามมาตรฐานปราศจากศัตรูพืชกักกัน เพื่อลดปัญหาการแจ้งเตือนจากประเทศปลายทาง ซึ่งขณะนี้ปัญหาการปนเปื้อน Basic Yellow 2 (BY2) และสารแคดเมียมในทุเรียนสดส่งออกไปจีน นับว่ามีผลกระทบอย่างมากต่อการส่งออกผลไม้ของไทย ทางการจีนจึงเพิ่มความเข้มงวดและออกกฎระเบียบในการควบคุมการนำเข้าการจำหน่ายผลไม้นำเข้าจากประเทศไทย ซึ่งหากมีการตรวจพบการปนเปื้อน BY2 และสารแคดเมียมในผลทุเรียนสดและถูกระงับการนำเข้าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจการส่งออกผลไม้ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทบต่อราคาผลผลิตของเกษตรกร ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เพิ่มมาตรการเข้มข้นและได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรตรวจติดตามโรงงานผลิตสินค้าพืชให้ได้มาตรฐานเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพผลผลิต และรับรองสุขอนามัยพืชให้เป็นไปตามเงื่อนไขในพิธีสารส่งออกไปจีนอย่างเข้มงวด เพื่อให้การบริหารจัดการผลไม้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กำกับติดตามควบคุมมาตรฐานสินค้าผักและผลไม้ในโรงคัดบรรจุอย่างใกล้ชิด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำในเรื่องของการปฏิบัติตามมาตรการ 4 ไม่ เพื่อควบคุมคุณภาพทุเรียนไทยปี 2568 ได้แก่ 1. ไม่อ่อน 2. ไม่หนอน 3. ไม่สวมสิทธิ์ และ 4. ไม่มีสี-ไม่มีสารเคมีต้องห้าม โดยมีเป้าหมาย Set Zero การใช้สีการใช้สารเคมีในโรงคัดบรรจุทั้งหมด รวมถึงมาตรการ Big Cleaning เพื่อป้องกันการปนเปื้อนสารตกค้าง BY2 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุและโรงรวบรวมผลไม้ปฏิบัติได้ตามมาตรฐานและตามประกาศหลักเกณฑ์ที่กำหนดและมีการบูรณาการและสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ผลไม้ที่ส่งออกไปก็จะมีคุณภาพปลอดภัยได้มาตรฐานส่งเสริมภาพลักษณ์สร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ การส่งออกผลไม้ของไทยก็จะราบรื่นเกษตรกรสามารถจำหน่ายผลไม้ได้ราคาดีช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกผลไม้ของไทยและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการและเกษตรกรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (คลองภักดีรำไพ) จังหวัดจันทบุรี เพื่อร่วมรับฟังปัญหาในพื้นที่และแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน โดยมีโครงการขนาดใหญ่ที่ยังค้างอยู่ เช่น โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำวังโตนด เพื่อกักเก็บน้ำให้กับชาวจังหวัดจันทบุรีมากขึ้น เพราะอาชีพหลักของที่นี่คืออาชีพเกษตรกร หากมีแหล่งน้ำเพียงพอก็จะสามารถช่วยภาคเกษตรได้ โดยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว ว่าอยากจะทำโครงการนี้ให้สำเร็จ
สำหรับโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (คลองภักดีรำไพ) สามารถควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ Z.57 ไม่ให้เกิน 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ช่วยลดปริมาณน้ำจากคลองภักดีรำไพ เทือกเขาสระบาป ตำบลพลับพลา ตำบลคลองนารายณ์ และตำบลหนองบัว ไม่ให้น้ำไหลเข้าเขตเศรษฐกิจ ตัวเมืองจันทบุรีด้วยการระบายน้ำออกสู่ทะเล และสามารถเก็บกักน้ำสำหรับใช้ประโยชน์ในช่วงหน้าแล้ง ได้ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งรองรับการใช้อุปโภค-บริโภคของชาวจันทบุรี และครอบคลุมพื้นที่ทำการเกษตรในหน้าแล้งได้กว่า 5,000 ไร่
นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและรับฟังปัญหาข้อเสนอแนะด้านการเกษตร เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ณ ศาลาอเนกประสงค์ วัดเทพนิมิต ตำบลเทพนิมิต อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด ซึ่งจังหวัดตราดเป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกผลไม้ที่สำคัญและมีชื่อเสียง ได้แก่ เงาะ ทุเรียน มังคุด และยางพารา จำเป็นต้องใช้น้ำสำหรับการเพาะปลูกปริมาณมาก จึงได้มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ
หนึ่งในโครงการสำคัญคือ โครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำวัดเทพนิมิต-บ้านมุมสงบ ตำบลเทพนิมิต อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับภาคเกษตรและการอุปโภคบริโภครวมถึงเพิ่มศักยภาพในการสูบน้ำจากแม่น้ำเขาสมิงไปยังอ่างเก็บน้ำวังสมโภชน์ โดยมีแผนการก่อสร้างในปี 2570 เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ประมาณ 4.1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และสามารถสนับสนุนการเพาะปลูกในพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญของจังหวัดตราด