“ไทยแลนด์” คว้ารางวัลหลายรายการ แบงค์คอก สตรีทฟู้ด – Best LGBTQ Destination ดันเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยว

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานคร ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองอาหารที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลก ประจำปี 2568 จากนิตยสารระดับโลก Time Out ขยับขึ้นจากอันดับ 6 เมื่อปีที่แล้ว เป็นรองเพียง นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เท่านั้น

โดยการสำรวจพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรุงเทพมหานคร ติดอันดับสูงขึ้นคือ “รสชาติที่อร่อย” ตามมาด้วย “ความสะดวกและรวดเร็ว” ที่ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงอาหารคุณภาพได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นร้านสตรีทฟู้ดริมทางที่พร้อมเสิร์ฟในเวลาไม่กี่นาที หรือบริการเดลิเวอรี่ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถเพลิดเพลินกับอาหารจานโปรดได้ทุกที่

กรุงเทพมหานคร เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งสตรีทฟู้ดระดับโลก มากกว่าการเป็นศูนย์รวมร้านอาหารหรู โดย “ย่านเยาวราช” ยังคงเป็นย่านอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยเมนูชื่อดังอย่าง ก๋วยจั๊บ ข้าวต้มโต้รุ่ง และเกาลัด รวมถึงบาร์ค็อกเทลที่เปิดให้บริการตลอดคืน ขณะที่ “ย่านบรรทัดทอง” ซึ่งเคยเงียบเหงา ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งรวมสตรีทฟู้ดที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ถนนที่ดีที่สุดอันดับ 14 ของโลก จาก Time Out ด้วยเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยสีสัน

แม้กรุงเทพมหานคร จะขึ้นแท่นเป็นเมืองอาหารระดับโลก แต่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า วงการอาหารไทยยังสามารถเติบโตได้อีก หากร้านอาหารมีการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ในราคาที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ร้านอาหารที่มีนวัตกรรมและนำเสนอเมนูสร้างสรรค์ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มร้านพรีเมียมที่มีราคาสูง ขณะที่ร้านระดับกลางที่พัฒนาเมนูใหม่ ๆ ในราคาที่เข้าถึงได้ยังมีไม่มากนัก หากมีการเพิ่มทางเลือกที่สร้างสรรค์และราคาเป็นมิตร จะช่วยให้กรุงเทพมหานคร ก้าวขึ้นไปอีกระดับในฐานะศูนย์กลางแห่งรสชาติที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักชิมจากทั่วโลกได้มากยิ่งขึ้น

รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารของไทย โดยสนับสนุนการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีในประเทศ และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหาร (Food Hub) ของภูมิภาค อาหารไทยถือเป็น ซอฟต์พาวเวอร์สำคัญ ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก การที่กรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของไทยที่มีแนวโน้มเติบโตในหลายมิติ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การส่งออกอาหาร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรกรรม โรงแรม และโลจิสติกส์ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Suvarnabhumi Airport)” ของประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็น “สนามบินยอดเยี่ยมอันดับ 2” จากการประกาศผลรางวัล DestinAsian Readers’ Choice Awards 2025 โดยมาจากการลงคะแนนของผู้อ่านนิตยสาร DestinAsian ซึ่งเป็นนิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มุ่งเน้นการนำเสนอเรื่องราวและข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์การเดินทางที่มีคุณภาพสูง โดยเกณฑ์การพิจารณานั้น จะพิจารณาจากคุณภาพการให้บริการ ความปลอดภัย และความพึงพอใจโดยรวมของผู้โดยสาร รางวัลนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารจากทั่วโลก

การประกาศรางวัลดังกล่าว จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีนี้เป็นการจัดครั้งที่ 18 เพื่อมอบรางวัลให้แก่องค์กรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีความเป็นเลิศในประเภทต่างๆ เช่น สนามบิน โรงแรม เมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว รางวัลดังกล่าว ถือเป็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ตามนโยบายของรัฐบาล และข้อสั่งการของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการให้พัฒนาสนามบินอย่างต่อเนื่อง มุ่งยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้มีความสะดวกสบาย ปลอดภัย และทันสมัย เพื่อเพิ่มศักยภาพของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลกต่อไป และเพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและการบินของภูมิภาค

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยสร้างชื่อเสียงระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการได้รับรางวัล “Best LGBTQ Destination” จากผลโหวตของผู้อ่าน Spartacus Magazine นิตยสารท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ชื่อดังของเยอรมนีสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ และการพิจารณาจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ภายในงาน Spartacus Travel Awards 2025 ที่ผ่านมา ตอกย้ำความเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกของนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ซึ่งมีการมอบรางวัลทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ 1) Best LGBTQ Friendly Airline 2) Best LGBTQ Event Destination 3) Best LGBTQ Honeymoon Destination 4) Best LGBTQ Destination

การที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็น “Best LGBTQ Destination” จุดหมายปลายทางระดับโลกสำหรับนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเป็นมิตรและเปิดกว้างสำหรับนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ซึ่งมาจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่

  • การประกาศใช้พระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม วันที่ 23 มกราคม 2568 ตามนโยบายของรัฐบาล
  • แหล่งท่องเที่ยวที่เป็น LGBTQ+ Friendly ในเมืองสำคัญอย่าง กรุงเทพมหานคร พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ รวมทั้งการสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง

รางวัลดังกล่าว สะท้อนถึงความสำเร็จของนโยบายรัฐบาล ด้านการท่องเที่ยวและการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง ประเทศไทยพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว มุ่งสร้างความประทับใจ เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรในการเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มทั่วโลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง