ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว และร่าง พ.ร.บ.กระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ

สาระสำคัญของเรื่อง

1. ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฯ ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 เพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงมากขึ้น โดยปรับนิยามความรุนแรงในครอบครัวที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น นอกจากจะหมายถึงการทำร้ายร่างกาย จิตใจ สุขภาพแล้ว ยังรวมถึงการล่วงเกินหรือคุกคามทางเพศและการกระทำที่มุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย สำหรับการลงโทษได้เพิ่มอัตราโทษปรับในความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย การดูหมิ่น หรือการบังคับให้กระทำหรือไม่กระทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมต่อบุคคลในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ (เดิม ปรับไม่เกิน 6,000 บาท) และหากมีการกระทำความผิดซ้ำภายในระยะเวลา 3 ปีนับแต่วันที่ได้กระทำความผิดครั้งก่อน หรือกระทำต่อเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ผู้กระทำจะต้องรับโทษหนักกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง รวมถึงกำหนดมาตรการเพื่อให้ผู้ถูกกระทำได้รับความช่วยเหลือจากกลไกที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายอย่างเหมาะสม เช่น เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการกระทำความผิดซ้ำ ให้ผู้ที่จะถูกกระทำหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวให้มีคำสั่งห้ามมิให้กระทำการนั้น และออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพเพื่อคุ้มครองผู้ที่จะถูกกระทำตามสมควรแก่กรณี (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้)

2. สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์และระยะเวลาการร้องทุกข์ และกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ที่จะถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวและป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ มีรายละเอียด ดังนี้

1) แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม เช่น

   (1) “ความรุนแรงในครอบครัว” หมายความว่า การกระทำใดๆ ที่บุคคลในครอบครัวกระทำต่อกัน อันเป็นการทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ การล่วงเกินหรือคุกคามทางเพศและให้หมายความรวมถึงการกระทำใดๆ โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ ความเสียหายต่อชื่อเสียง หรือการกระทำโดยเจตนาในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ ของบุคคลในครอบครัว หรือการกระทำที่กระทบต่อเสรีภาพโดยการบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำ อย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบ (เดิม บัญญัติไว้เพียงอันตรายที่เกิดแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพเท่านั้น)

  (2) “บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า

       (2.1) คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินด้วยกันหรือเคยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ผู้ที่มีหรือเคยมีความสัมพันธ์ฉันคู่สมรส คู่รัก ที่แสดงออกต่อบุคคลทั่วไปหรือที่มีความผูกพันลึกซึ้งทางจิตใจต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศ

       (2.2) ผู้บุพการีหรือผู้สืบสันดาน บุตรไม่ว่าจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ บุตรบุญธรรม หรือความสัมพันธ์ที่เกิดจากการรับไว้อุปการะเลี้ยงดูอย่างบุตร

       (2.3) พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดา ลุง ป้า น้า อา หลาน ไม่ว่าทางสายโลหิตหรือการสมรส รวมถึงญาติตามสายโลหิต

      (2.4) บุคคลที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน เช่น เป็นบุคคลที่อยู่ร่วมกันภายใต้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจคนหนึ่งเหนือกว่าอีกคนหนึ่ง หรือเป็นบุคคลที่มีความผูกพันกันลึกซึ้งทางจิตใจต่อกัน แม้ไม่มีความเกี่ยวพันกันทางเครือญาติ

     (เดิม กำหนดไว้เพียง คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน ซึ่งไม่ได้ลงรายละเอียดไว้) 

2) แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีความครอบคลุมและสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่พบเห็นหรือได้รับแจ้งเหตุการกระทำรุนแรงในครอบครัว ให้มีหน้าที่และอำนาจรวมถึง (1) รวบรวมข้อเท็จจริงหรือพยานเอกสาร และจัดทำแผนแก้ไข (2) ในกรณีที่มีความเสี่ยงจะถูกกระทำด้วยความรุนแรงซ้ำ ให้จัดให้ผู้ถูกกระทำอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย (3) ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสวัสดิภาพ หากมีการส่งตัวเข้ารับคำปรึกษาแนะนำ (4) เสนอผู้มีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว (เช่น ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวอยู่ให้ห่างจากผู้ถูกกระทำในระยะเวลาที่กำหนด) (เดิม กำหนดให้มีหน้าที่และอำนาจในการเข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ที่เกิดเหตุเพื่อสอบถามผู้ที่อยู่ในสถานที่นั้นได้ และมีอำนาจจัดให้ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงเข้ารับการรักษาจากแพทย์และขอรับคำปรึกษาแนะนำจากจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ รวมถึงร้องทุกข์แทนได้หากผู้นั้นไม่อยู่ในวิสัยหรือมีโอกาสที่จะร้องทุกข์ด้วยตนเอง)

3) แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และการดำเนินการ เช่น

   (1) ถ้ามิได้มีการแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 5 หรือมิได้มีการร้องทุกข์ตามมาตรา 6 ภายใน 6 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งหรือร้องทุกข์ได้ ให้ถือว่าคดีขาด
อายุความ เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการตัดสินใจดำเนินคดี (เดิม กำหนดภายใน 3 เดือน)

   (2) ให้พนักงานสอบสวนในท้องที่หรือที่มูลเหตุเกิดขึ้น พนักงานอัยการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรี มีอำนาจออกคำสั่งใด ๆ เช่น ให้ผู้กระทำไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกำหนดระยะเวลา ให้ผู้กระทำเข้ารับคำปรึกษาแนะนำหรือแก้ไขบำบัดฟื้นฟู (เดิม พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งใดๆ ได้เท่าที่จำเป็นและสมควร ซึ่งรวมถึงการให้ผู้ถูกกระทำเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์ การให้ผู้กระทำชดใช้เงินช่วยเหลือ การออกคำสั่งห้ามผู้กระทำเข้าใกล้ที่พำนักของครอบครัวหรือบุคคลในครอบครัวตลอดจนกำหนดวิธีการดูแลบุตร)

  (3) เมื่อผู้มีอำนาจออกคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการบรรเทาทุกข์ตามข้อ (2) แล้ว ให้มีผลใช้บังคับไม่เกิน 7 วันนับแต่วันที่ผู้กระทำได้รับคำสั่งหากมีความจำเป็นต้องกำหนดมาตรการหรือวิธีการนั้นต่อไป เพื่อจัดทำแผนแก้ไขและป้องกัน ให้เสนอมาตรการหรือวิธีการบรรเทาทุกข์ต่อศาล (เดิม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ออกคำสั่งดังกล่าวแล้วให้เสนอต่อศาลภายใน 48 ชั่วโมงนับแต่วันออกคำสั่ง หากศาลเห็นชอบ ให้คำสั่งนั้นมีผลต่อไป)

   (4) เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการกระทำความผิดซ้ำ ให้ผู้ที่จะถูกกระทำหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางให้มีคำสั่งห้าม มิให้กระทำการนั้น และออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพเพื่อคุ้มครองผู้ที่จะถูกกระทำตามสมควรแก่กรณี (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้)

4) แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษ เช่น

    (1) ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง (มาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เดิม ปรับไม่เกิน 3,000 บาท)

    (2) ถ้าเป็นการกระทำความผิดซ้ำภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ได้กระทำความผิดครั้งก่อน หรือทำต่อเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ให้ศาลลงโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง (เดิม ไม่ได้กำหนดมาตรการดังกล่าวไว้ ซึ่งหากมีการกระทำความผิดซ้ำจะมีโทษเท่ากับกระทำครั้งแรก)

5) ในคราวประชุมคณะกรรมการปรับปรุงพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนา และคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว

6) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว รวมทั้งได้จัดทำแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจำนวน 2 ฉบับ


ครม.อนุมัติ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การกระทำความผิด ต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ

สาระสำคัญของเรื่อง

1. สืบเนื่องจากกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารและคอมพิวเตอร์ในสื่อออนไลน์ซึ่งมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยังไม่สามารถดำเนินการคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนจากการตกเป็นเหยื่อของการกระทำความผิดต่อเด็กและเยาวชนผ่านทางสื่อออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในการกระทำความผิด โดยเฉพาะการกระทำความผิดต่อเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถถูกล่อลวงและตกเป็นเหยื่อของผู้กระทำความผิดได้โดยง่าย อีกทั้งการกระทำความผิดโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลยังกระทำได้อย่างไร้พรมแดนและยากที่จะควบคุม

2. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….  ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา โดยกำหนดเพิ่มเติมฐานความผิดในประมวลกฎหมายอาญาไว้ 5 ประเภท ดังนี้ 1) การล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ 
(ในลักษณะ Offline และ Online Grooming) ซึ่งมีลักษณะเป็นการโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชนให้กระทำการหรือยอมรับการกระทำอันไม่สมควร 2) การพูดคุยเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม (ในลักษณะ Offline และ Online Unwanted Sexting) ซึ่งมีลักษณะเป็นการส่งหรือส่งต่อซึ่งเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน ไม่ว่าด้วยกาย วาจา ลายลักษณ์อักษร ภาพ เสียง หรือวิธีการอื่น 3) การแบล็กเมลทางเพศ (Sextortion) ซึ่งมีลักษณะเป็นการข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ส่งต่อซึ่งข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางเพศ หรือกระทำการใดที่ทำให้อับอายหรือเสียชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ และบังคับให้ผู้ถูกข่มขู่กระทำการหรือยอมรับการกระทำที่ไม่สมควรทางเพศ 4) การติดตามคุกคาม (ในลักษณะ Offline และ Online Stalking) ซึ่งมีลักษณะเป็นการเฝ้าดูหรือติดตามอย่างใกล้ชิด หรือการติดต่อหรือพยายามติดต่อไม่ว่าด้วยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งกระทำซ้ำหลายครั้งต่อบุคคลใด จนเกิดความเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร และไม่มีเหตุอันสมควร และ 5) การกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ (Cyber Bullying) ซึ่งมีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้ง รังแก ระราน ข่มเหง หรือการกระทำอื่นใดซ้ำๆ ต่อผู้อื่น ผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์ โดยนำการกระทำความผิด 5 ประเภทดังกล่าว มากำหนดไว้ให้เป็นความผิดและกำหนดโทษสำหรับการกระทำนั้นในประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวยังเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (11 ตุลาคม 2565) เรื่อง รายงานผลการดำเนินการกรณี ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อผลักดันกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ที่ให้กระทรวงยุติธรรมนำร่างบทบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ ของคณะกรรมาธิการฯ มาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดต่อเด็กบนโลกออนไลน์เป็นการเฉพาะและสอดคล้องกับข้อตกลงหรือความร่วมมือระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีสมาชิกซึ่งกำหนดให้ต้องบัญญัติกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์

3. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญาเพื่อกำหนดการกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

   3.1) กำหนดให้การกระทำความผิดกระทำชำเรา กระทำอนาจารหรือการกระทำที่เป็นการเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นการบันทึก ข้อความ ภาพ หรือ เสียง ดังกล่าวไว้ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่กำหนดไว้ (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น กระทำชำเราเด็ก กระทำอนาจารเด็ก การล่อลวงเข้าหาเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ การพูดคุยหรือสื่อสารเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสม) และหากมีการเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อความ ภาพ หรือเสียง การกระทำชำเรา การกระทำอนาจาร หรือการกระทำนั้นที่บันทึกไว้ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่กำหนดไว้ (เพิ่มขึ้นอีกกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น กระทำชำเราเด็ก กระทำอนาจารเด็ก การล่อลวงเข้าหาเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ การพูดคุยหรือสื่อสารเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสม) (ร่างมาตรา 5) เดิม กำหนดเหตุฉกรรจ์ (ข้อเท็จจริงที่ทำให้ได้รับโทษหนักขึ้น) ไว้เฉพาะกรณีบันทึกหรือส่งต่อภาพหรือเสียง ไม่รวมถึง “ข้อความ”

  3.2) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดกระทำการอันมีลักษณะเป็นการโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันมีลักษณะที่ไม่เหมาะสมกับบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี ให้กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอันไม่สมควรอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อสนองความใคร่ของตนเองหรือผู้อื่น หรือเพื่อการอนาจาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เป็นความผิดในขั้นที่ยังไม่เกิดผล) การล่อลวงเข้าหาเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ (Online Grooming) (ร่างมาตรา 6)

หากการโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น ก่อให้เกิดผลแล้ว ได้กระทำความผิดสำเร็จโดยทำให้ผู้ที่ถูกโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นถูกทำการอนาจาร หรือถูกนำไปสนองความใคร่ของบุคคลใดแล้ว ต้องระวางโทษหนักขึ้น (จำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท)

การกระทำดังกล่าวข้างต้นหากได้กระทำต่อเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นอีก
(ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท) หากเป็นการกระทำผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม หรือระบบคอมพิวเตอร์ ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิด (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสามของโทษที่กฎกำหนด)

 3.3) กำหนดเพิ่มเติมให้การกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการโน้มน้าวจูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน เพื่อการอนาจาร หรือเพื่อสนองความใคร่ของบุคคล (ตามข้อ 3.2) ทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย จะต้องได้รับโทษหนักขึ้น (เพิ่มเหตุฉกรรจ์ กรณี 1) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต 2) ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกสิบห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต) (ร่างมาตรา 7)

 3.4) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดส่ง หรือส่งต่อซึ่งเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสม เพื่อการอนาจาร หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ให้แก่เด็กอายุเกินสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี หรือบุคคลซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในเกณฑ์อายุเช่นว่านั้น ไม่ว่าด้วยการแสดงออกทางกาย วาจา ลายลักษณ์อักษร ภาพ เสียง หรือด้วยวิธีการอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท (การพูดคุยหรือสื่อสารเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสม (Sexting) (ร่างมาตรา 8))

หากเป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี หรือบุคคลซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในเกณฑ์อายุเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษหนักขึ้น (จำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกหมื่นบาท) หากเป็นการกระทำผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม หรือระบบคอมพิวเตอร์ ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสามของโทษที่กฎหมายกำหนด)

 3.5) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ หรือส่งต่อซึ่งข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึก เพื่อการอนาจาร หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางเพศของผู้ถูกข่มขู่ หรือสมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกข่มขู่ หรือกระทำการด้วยประการอื่นใด อันอาจทำให้ผู้ถูกข่มขู่ สมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกข่มขู่อับอาย หรือเสียชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ โดยบังคับให้ผู้ถูกข่มขู่จำยอมต้องกระทำการหรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการไม่สมควรทางเพศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท (การแบล็กเมลทางเพศ (Sextortion) (ร่างมาตรา10))

 3.6) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น หรือส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่นหากเป็นการกระทำโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือผ่านช่องทางโทรคมนาคมตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่กำหนดไว้ (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก หรือส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น) (ร่างมาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 287/3)

 3.7) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใด

      (1) ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน

     (2) ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชนหรือให้เช่าสื่อลามกอนาจารเด็ก

     (3) ช่วยเผยแพร่ หรือค้าสื่อลามกอนาจารเด็ก หรือโดยวิธีใด

หากเป็นการกระทำโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ตามกฎหมายด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือผ่านช่องทางโทรคมนาคมตามกฎหมายว่าด้วย องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่กำหนดไว้ (เพิ่มขึ้นอีกกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานทำ ผลิต มีไว้ นำเข้า ส่งออก เผยแพร่ ซึ่งสื่ออนาจารเด็กเพื่อการค้า) (ร่างมาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 287/2)

  3.8) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดกระทำความผิดในลักษณะ (การติดตามคุกคาม) เฝ้าดูหรือติดตามอย่างใกล้ชิด หรือการติดต่อหรือพยายามติดต่อไม่ว่าด้วยทางตรงหรือทางอ้อม หรือการกระทำอื่นใดอันมีลักษณะเดียวกันต่อบุคคลใด อันเป็นผลทำให้ผู้ถูกกระทำเกิดความเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร รบกวนความเป็นอยู่ส่วนตัว หรือทำให้ผู้ถูกกระทำไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ หรือเกิดความหวาดกลัวต่อความไม่ปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ถูกกระทำหรือสมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกกระทำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นการกระทำผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม หรือระบบคอมพิวเตอร์ต้องระวางโทษหนักขึ้น (จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) (การติดตามคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Stalking) (ร่างมาตรา 15))

  3.9) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดกระทำความผิดในลักษณะการกลั่นแกล้ง รังแกทางออนไลน์ (Cyber Bullying) (กลั่นแกล้ง รังแก ระราน ข่มเหง หรือการกระทำลักษณะเดียวกันต่อผู้อื่น ผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคมหรือระบบคอมพิวเตอร์) โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับความอับอาย หรือได้รับผลกระทบอย่างหนึ่งอย่างใดทางร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ร่างมาตรา 17)

หากกระทำผ่านเทคโนโลยี อุปกรณ์โทรคมนาคม หรือระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีไว้เพื่อการบริการสาธารณะ หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ ต้องระวางโทษหนักขึ้น (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสาม) (ร่างมาตรา 18)

4. กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานกิจการยุติธรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย และเปิดเผยสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบด้วยแล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยในหลักการ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง