นายกฯ ติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 ลดลงเฉลี่ย 16% ทั่วประเทศ สั่งบูรณาการเฝ้าระวังต่อเนื่อง

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการติดตามการดำเนินงานรับมือและบริหารจัดการสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีรับฟังผลการดำเนินงานรับมือและบริหารจัดการสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 จากนางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ยังคงมีความหนาแน่นในโซนภาคเหนือ เนื่องจากฝุ่นควันที่พัดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนปัญหาฝุ่นควันในประเทศนั้น ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ปีนี้ค่าฝุ่นควันลดลงเฉลี่ย 16% ทั่วประเทศ และบางพื้นที่ลดลงมากกว่า 20% เป็นผลจากการใช้มาตรการเชิงรุกของหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วน รวมถึงการสร้างความเข้าใจเรื่องการเผาให้กับประชาชนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในช่วง 60 วันข้างหน้านี้จะเป็น “ช่วงอันตราย” เนื่องจากฝนจะลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าฝุ่นเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง รัฐบาลได้เน้นย้ำให้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ พร้อมทั้งให้ความรู้และข้อระมัดระวังที่จำเป็น โดยกระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่ดูแลและจัดเตรียมอุปกรณ์สนับสนุนการช่วยเหลือให้กับผู้ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน นอกจากนั้น รัฐบาลได้มีการอนุมัติงบกลางจำนวน 620 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการปัญหาไฟป่า ส่งผลให้จำนวนจุดความร้อน (Hotspot) ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับปัญหาฝุ่นควันจะถูกยกเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักที่จะดูแลเรื่องนี้ นอกจากนี้ ต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนร่วมประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านในระดับผู้บริหารและอธิบดี เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในภูมิภาค ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าปัญหาฝุ่นควันกำลังได้รับการดูแลอย่างจริงจัง พร้อมทั้งมีมาตรการรองรับและเตรียมความพร้อมเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในทุกพื้นที่ของประเทศ

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง/เลขานุการ กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในห้วงที่ผ่านมา มีการดำเนินการอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนจุดความร้อนซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของฝุ่น PM2.5 โดยในส่วนของกรมป่าไม้ ได้ออกปฏิบัติการควบคุมไฟป่ารวม 3,789 ครั้ง ป้องกันความเสียหายได้กว่า 66,666 ไร่ ดำเนินคดีกับผู้ที่เผาป่าจำนวนทั้งสิ้น 94 คดี และส่งเจ้าหน้าที่มาประจำ ณ ศูนย์บัญชาการควบคุมไฟป่า (ส่วนหน้า) กรมป่าไม้เพิ่มเติม เพื่อให้การป้องกันและควบคุมไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงจัดตั้งชุดสนับสนุนการควบคุมไฟป่าประจำตำบลในพื้นที่ 14 กลุ่มป่าแปลงใหญ่ จำนวน 180 ชุด และจัดหาอุปกรณ์ควบคุมไฟให้แก่ป่าชุมชน ที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า จำนวนทั้งสิ้น 667 ป่า สำหรับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้กระจายกำลังลงพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการไม่เผาป่า โดยการเคาะประตูบ้านสร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือประชาชนงดเผาไปแล้วกว่า 42,709 ครัวเรือน มีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับชุมชนรอบป่า เพื่อไม่ให้คนในชุมชนลักลอบเผาป่า จำนวน 1,259 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 34 จังหวัด ดำเนินคดีกับผู้ที่เผาป่าไปแล้ว 56 คดี และจับผู้ที่เผาป่าไปแล้ว 17 ราย ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมรณรงค์สร้างการรับรู้และการเรียนรู้การเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Day) ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วในพื้นที่ 55 จังหวัด รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรหยุดการเผาและใช้วัสดุอื่นแทนการเผาอย่างต่อเนื่อง โดยสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์อื่นให้แก่เกษตรกรใช้แทนการเผา

ด้านนายจำนง สวัสดิ์วงศ์ ผู้อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในสัปดาห์หน้า ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ค่าฝุ่นมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) จำนวนจุดความร้อนในพื้นที่เพิ่มสูงขึ้น 2) ลมที่พัดฝุ่นจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังประเทศไทย และ 3) อัตราการระบายอากาศยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงขอให้ 17 จังหวัดภาคเหนือ ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 อย่างใกล้ชิด ให้ความสำคัญกับการลดจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และบรรเทาผลกระทบที่มีต่อสุขภาพประชาชนจากปัญหาฝุ่นที่เกิดขึ้น ผ่านการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อให้สถานการณ์ฝุ่นคลี่คลายและกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษากองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า จุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้านมีการสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ประเทศเมียนมา ทำให้จากนี้จนถึงวันที่ 23 มีนาคม 2568 จะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นละอองเป็นพิเศษโดยเฉพาะจังหวัดภาคเหนือตอนบนที่มีแนวเขตติดกับชายแดน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษที่รายงานสภาพอากาศภาคเหนือ 17 จังหวัด คุณภาพอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน อยู่ในระดับสีส้ม เฉลี่ยที่ 25.6-143.0 มคก./ลบ.ม.

นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการคาดการณ์ในอีก 7 วันข้างหน้า พื้นที่ภาคเหนือจะยังมีค่าฝุ่นอยู่ในระดับปานกลางถึงระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้น ประชาชนในพื้นที่จึงยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เมื่อค่าฝุ่นเป็นสีส้มควรลดกิจกรรมนอกบ้าน อยู่ในห้องปลอดฝุ่น หากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกให้สวมหน้ากากอนามัยและเมื่อมีอาการเจ็บป่วยให้รีบพบแพทย์และได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ติดตามสถานการณ์ฝุ่นอย่างต่อเนื่องและดำเนินการตามมาตรการ โดยเฉพาะการลดและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ การสนับสนุนหน้ากากอนามัยแก่ประชาชนและกลุ่มเปราะบางที่มีประมาณ 1.62 ล้านคน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง