นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามการทำงานของคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ปชด.) ณ ห้อง จปร. อาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ กองบัญชาการกองทัพบก โดยมี พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.พิจิตต ศรีรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด (ป.ป.ส.) เข้าร่วมและให้การต้อนรับ
นายกรัฐมนตรีมาติดตามความคืบหน้าเรื่องยาเสพติด ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน โดยที่ ผ่านมาผลการจับกุมสามารถจับกุมได้มากขึ้น แต่ยังพบว่าการผลิตยาเสพติดยังมีมากและได้ขอความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ส่วนการป้องกันภายในประเทศ ขณะนี้ดีอยู่แล้ว ทำให้ราคายาเสพติดอย่างเช่น ยาบ้ามีราคาสูง เนื่องจากได้ระดมการจับกุม ส่งผลให้ยาเสพติดหายากในจังหวัดต่างๆ นอกจากการจับกุมยาเสพติดแล้ว การบำบัดรักษา ทุกหน่วยงานได้ร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะต้องการให้ผู้เสพยาหายจากการติดยาสามารถกลับคืนสู่สังคมได้ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงจะต้องติดตามการขนยาเสพติดในช่องทางอื่นๆ เช่น ทางเรือ ทางอากาศ ทั้งนี้ จากข้อมูล พบว่า ยาเสพติด ได้แก่ ยาไอซ์ ยาเค จะถูกขนส่งผ่านประเทศไทยไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งทางเหล่าทัพจะทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้จะมีการนำเครื่องตรวจ X-Ray ที่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มาใช้ในการตรวจสอบยาเสพติดให้มีความชัดเจน สามารถจับกุมได้อย่างรวดเร็ว ขอยืนยันว่า การดำเนินการทุกๆ ขั้นตอน อยู่ในทิศทางที่ดีและเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้น ส่วนพื้นที่ที่พบปัญหายาเสพติดมากยังคงเป็นพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นกรอบระยะเวลาที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า การปฏิบัติงานได้เห็นผลอย่างชัดเจน หลังจากนี้จะดำเนินการอย่างครอบคลุมในทุกพื้นที่ ทั้งในส่วนของการจับกุม บำบัดและขั้นตอนของการทำลายยาเสพติดแต่อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการติดตามการปฏิบัติงานในทุกๆ เดือน ซึ่งส่วนนี้จะทำให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยินดีให้ความร่วมมือ โดยรัฐบาลกัมพูชาจะให้ความร่วมมือ 100% และจะทำงานร่วมกันผ่านคณะทำงาน และได้มีโอกาสพูดคุยกับ กสทช.ว่ายังมีปัญหาอะไรบ้าง เพราะเรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือจากภาคเอกชนด้วยเช่นกัน
สำหรับเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขณะนี้สามารถดำเนินการปราบปรามได้จำนวนมาก แต่รัฐบาลต้องการให้ปัญหาดังกล่าวหมดไป ซึ่งได้รับรายงานจากพล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ว่า ยังมีกลุ่มเล็กๆ ย่อยๆ อยู่ ส่วนในเรื่องของการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น รัฐบาลไทยได้ดำเนินการอย่างเข้มข้น ทางฝั่งกัมพูชาพร้อมที่จะร่วมมือทำงานแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน ไม่เคยติดปัญหาในเรื่องของกระบวนการทำงานและทางกัมพูชาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขณะนี้ได้ทราบถึงต้นตอปัญหาต่างๆ และจะทำให้ปัญหาดังกล่าวหมดไป
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งกัมพูชา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้พูดคุยกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศกัมพูชา ขณะนี้อยู่ในกระบวนการของการพูดคุย ซึ่งจะมีการดำเนินการขับเคลื่อนในระยะต่อไป โดยทางตำรวจกัมพูชายืนยันจะกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้กับไทย แต่ต้องรอช่วงเวลา เนื่องจากกัมพูชามีกฎหมายในการออกหมายค้นและดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนในทางการปฏิบัติยังไม่มีปัญหาอะไร
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ติดตามผลการปฏิบัติการปราบปรามและจับกุมยาเสพติดในพื้นที่ ณ ด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6 นางสาวชุติพร เสชัง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์เพื่อมาติดตามตรวจสอบการจับยาเสพติด ณ ด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี ซึ่งเป็นจุดที่นำเครื่องเอกซเรย์มาใช้ในการตรวจสอบยานพาหนะที่ต้องสงสัยลักลอบลำเลียงยาเสพติด ซึ่งผลการปฏิบัติในปีงบประมาณ 2568 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67 – 20 มี.ค. 68 ตรวจพบ คดียาเสพติดรายสำคัญรวม 7 คดี ผู้ต้องหา 20 คน ของกลางคือ ยาเสพติด ยาบ้า 20,800,000 เม็ด ไอซ์ ประมาณ 700 กิโลกรัม เคตามีน 199 กิโลกรัม
นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชม พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนที่ได้บูรณาการทำงานร่วมกันจนสามารถจับกุมเคสใหญ่ๆ และสามารถดำเนินการสืบไปถึงตัวการใหญ่ได้ ส่วนคดีไหนที่อยู่ต่างประเทศ ได้ขอความร่วมมือกับต่างประเทศด้วยแล้ว นอกจากนี้ ยังทราบว่ารถที่ขนยาเสพติดค่าจ้างเริ่มแพงขึ้น นั่นหมายความว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ทำให้การขนส่งยาเสพติดเป็นไปได้ยากขึ้น ฉะนั้นค่าจ้างจึงสูงขึ้นอีก ส่งผลให้ยาบ้ามีราคาสูงตามไปด้วย รัฐบาลให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งนโยบายสร้างขวัญกำลังใจให้คนทำงานเช่นกัน พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนหากมีเบาะแสเรื่องยาเสพติดขอให้รีบแจ้งตำรวจ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคง รวมทั้งขอความร่วมมือจากกระทรวงต่างๆ ช่วยกันบำบัดผู้ติดยาเสพติด ให้สามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติ โดยรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการต่างๆ เพื่อให้ผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติดมีอาชีพเลี้ยงตนเองต่อไป
“ยาเสพติด คือ ภัยร้ายแรงของสังคมไทย คือความทุกข์ของพี่น้องประชาชน สำคัญที่สุดยาเสพติดเป็นตัวทำลายอนาคตเยาวชนไทย กำลังสำคัญของประเทศ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติด ยกให้เป็นวาระแห่งชาติและจะเดินหน้าต่ออย่างจริงจังเพื่อให้ปัญหายาเสพติดลดน้อยลงเรื่อยๆ จนหมดไปจากประเทศไทยโดยเร็ว ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานความมั่นคง และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต่างระดมสรรพกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อปราบปรามยาเสพติด จับกุมเครือข่ายทั้งรายเล็กรายใหญ่ และป้องกันไม่ให้ยาเสพติดแพร่กระจายสู่ชุมชนและเยาวชนของประเทศ ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ด้วยความเสียสละและกล้าหาญ”
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมอุโมงค์เอกซเรย์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจสอบยานพาหนะ ตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีที่สงสัยว่ามีการลำเลียงยาเสพติด เครื่องเอกซเรย์ จะช่วยตรวจหาและวิเคราะห์จุดซุกซ่อนของยาเสพติดภายในรถยนต์ เมื่อทำการสแกนเสร็จแล้ว ข้อมูลจะถูกส่งไปยังสถานีควบคุมเครื่องเอกซเรย์ เพื่อทำการตรวจสอบและประมวลผล จะช่วยในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดที่อาจจะถูกซุกซ่อนภายในยานพาหนะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ จากรายงานข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดที่ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร นบ.ยส.35 (หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด) และ ป.ป.ส. จัดกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่สามารถจับกุมเครือข่ายยาเสพติด จำนวน 7 คดี ผู้ต้องหา 20 คน รถยนต์ของกลาง 14 คัน ของกลางยาเสพติดคือ ยาบ้า 20,080,000 เม็ด ไอซ์ 700 กก. และเคตามีน 199 กก. ประกอบด้วย คดีที่ 1 ปิดล้อมรวบ 2 เอเย่นต์ขนยานรก 6,000,000 เม็ดจากพิษณุโลกสู่ภาคกลาง คดีที่ 2 สกัดจับแก๊งเหนือยึดยาบ้า 2,080,000 เม็ด ได้ผู้ต้องหา 4 คน คดีที่ 3 ขับหนีสุดชีวิตก่อนจนมุม ยึดยาบ้า 2 ล้านเม็ด รวบ 2 ผู้ต้องหา คดีที่ 4 สกัดจับกระบะขนไอซ์ 600 กก. คดีที่ 5 จับยาบ้า 3,000,000 เม็ด บุกทลายเครือข่ายม้ง ขนจากเชียงแสน คดีที่ 6 บุกทลายเครือข่ายเคตามีนยึด 199 กก. รวบ 3 ผู้ต้องหาคารีสอร์ท จ.เลย คดีที่ 7 เครือข่ายนายแบงค์ชาติ (ไอซ์ 100 กก. ยาบ้า 6,400,000 เม็ด)
เมื่อวันที่ (30 ม.ค. 68) นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานพิธีเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมและป้องกันยาเสพติดเข้าสู่ประเทศ จึงได้ผนึกกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง 51 อำเภอชายแดน 14 จังหวัด เพื่อให้เกิดความมั่นคง ในส่วนของรัฐบาลพร้อมดูแลสนับสนุนทหารและอาสาสมัครอย่างครอบคลุมทุกมิติ สำหรับปฏิบัติในการสกัดกั้นหรือการปิดกั้นชายแดน กำหนดระยะเวลา 6 เดือนคือ กุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2568 ต้องเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมในพื้นที่ชายแดน ต้องไม่ให้มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดตามช่องทางด่านตรวจหรือจุดตรวจ ท่าเทียบเรือบริเวณชายแดน ทั้งที่ถูกกฎหมายและช่องทางธรรมชาติ เส้นทางคมนาคม ระบบ Logistic การขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ไม่ปล่อยให้มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างรุนแรงในพื้นที่อำเภอชายแดนที่รับผิดชอบ ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้รับความเดือดร้อนและเกิดปัญหาอาชญากรรมอื่นจากยาเสพติด
ผลปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” จับชุดใหญ่กว่า 3.4 ล้านเม็ด เมื่อวันที่ (6 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานในการปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาลในมาตรการ “Seal Stop Safe” การสกัดกั้นยาเสพติดและและปราบปรามอาชญากรรมตามแนวชายแดน และเร่งการดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งทุกฝ่ายด้านความมั่นคง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกองทัพ ขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ร่วมกันปฏิบัติการอย่างจริงจังจนเกิดผลสำเร็จในหลายพื้นที่ โดยการปฏิบัติภารกิจเมื่อวันที่ 3 – 4 มี.ค. 68 สามารถยึดยาบ้าได้มากกว่า 3.4 ล้านเม็ด มูลค่ากว่า 136 ล้านบาท และได้กำชับให้ทุกส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้เร่งดำเนินการในไตรมาสที่ 1 ของปี (ม.ค.- มี.ค.) เพื่อสรุปเป็นผลงานของหน่วยงานต่างๆ ในการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล