พณ. เร่งขยายตลาดใน-ต่างประเทศ ดันผลไม้ไทยให้ราคาดีตลอดปี 2568

นายกรัฐมนตรี สั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรีและมอบหมายให้ 5 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมความพร้อมและมาตรการบริหารจัดการผลไม้ไทย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำและสินค้าตกค้าง ในช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า โดยให้กระทรวงพาณิชย์ เตรียมมาตรการรองรับการกระจายสินค้าออกจากแหล่งผลิต รวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศและขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อผลักดันการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมร่วมกับภาครัฐและเอกชน ผู้แทนเกษตรกร สมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง โลจิสติกส์ และสถาบันการเงิน เพื่อร่วมกันผลักดันมาตรการเชิงรุกก่อนที่ผลผลิตฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาด และแผนบริหารจัดการผลไม้ปี 2568 ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ให้กระทรวงพาณิชย์เตรียมมาตรการรองรับปัญหาผลผลิต พร้อมส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและขยายตลาดส่งออก ซึ่งปีนี้คาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน ลำไย และมะม่วง จึงต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้เกษตรกรขายได้ราคาดีที่สุด กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำ 7 มาตรการ 25 แผนงาน ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การตลาดในประเทศ การส่งออก ไปจนถึงการแปรรูปและอำนวยความสะดวกทางการค้า ตั้งเป้าหมายระบายผลไม้ 950,000 ตัน เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา โดยกระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ และทูตพาณิชย์ เพื่อให้เกษตรกรขายผลไม้ได้ราคาสูงสุด โดยใช้ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร

สำหรับ 7 มาตรการหลักในการบริหารจัดการผลไม้ปี 2568 ประกอบด้วย

1. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นผลผลิต โดยเร่งตรวจรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agriculture Practices) ตั้งศูนย์ “Set Zero” เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพผลไม้ไทย พร้อมตั้ง War room ผลักดันการส่งออก และตั้งชุดเฉพาะกิจเจรจากับจีน

2. มาตรการส่งเสริมตลาดในประเทศ เชื่อมโยงตลาดล่วงหน้า และกระจายสินค้านอกแหล่งผลิต สนับสนุนค่าบริหารจัดการผลไม้ รณรงค์บริโภคผลไม้และส่งเสริม GI (Geographical Indication หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) โหลดผลไม้ขึ้นเครื่องฟรี 20 กิโลกรัม และจัด “บุฟเฟ่ต์ทุเรียน” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

3. มาตรการส่งเสริม การแปรรูปและปรับพื้นที่เกษตรให้เหมาะสม โดยเฉพาะผลไม้ที่อยู่ในช่วงกระจุกตัวสูงและมีการสนับสนุนการปลูกพืชสวนแทนพืชไร่

4. มาตรการส่งเสริมตลาดต่างประเทศ จัดมหกรรมค้าชายแดนและจับคู่ธุรกิจ ส่งเสริมการขายในต่างประเทศและร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ

5. มาตรการยกระดับสินค้าผลไม้ไทย ทำประชาสัมพันธ์เชิงรุก และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เจรจาผ่อนปรนมาตรการทางการค้ากับประเทศคู่ค้า

6. มาตรการแก้ไขอุปสรรคและอำนวยความสะดวกการค้า ผ่อนปรนการเคลื่อนย้ายแรงงาน และสนับสนุนการคัดแยก-ขนย้าย

7. มาตรการกฎหมาย กำหนดให้แสดงราคารับซื้อ ณ จุดรับซื้อทุกวัน เวลา 08.00 น. เข้มงวดการป้องกันและปราบปรามการฉวยโอกาสทางการค้า

สำหรับปี 2568 คาดว่า ปริมาณผลผลิตผลไม้ 6.736 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.858 ล้านตัน (+15%) ทุเรียน คาดปริมาณผลผลิต 1.76 ล้านตัน (+37%) มะม่วง 1.3 ล้านตัน (+10%) โดยกระทรวงพาณิชย์จะเร่งส่งเสริมการส่งออก โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าการค้าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกไทย 96 บริษัท กับผู้นำเข้า 63 บริษัท จาก 19 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท เร่งขยายตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่าน TopThai Store กว่า 10 แพลตฟอร์มทั่วเอเชีย และในงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งรัฐบาลพร้อมเดินหน้าผลักดันให้ปี 2568 เป็นปีทองของเกษตรกรให้ผลไม้ไทยขายได้ราคาดีทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ ปัญหาการตรวจพบสาร BY2 ในทุเรียนส่งออกจีน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า ได้จัดตั้ง “จันทบุรีโมเดล” เพื่อตรวจสอบคุณภาพทุเรียนตั้งแต่ต้นทาง พร้อมเตรียมหารือกับทูตจีนเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่ด่านส่งออก เพื่อให้การส่งออกทุเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับ นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยพาณิชย์จังหวัด เกษตรจังหวัดจันทบุรี ในเรื่องผลไม้ ซึ่งจะเข้าสู่ฤดูกาลผลผลิตทุเรียนออกสู่ตลาดในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยคาดการณ์จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าจะมีผลผลิตทุเรียนเพิ่มขึ้น 37% หรือ 1.76 ล้านตัน ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงเร่งติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด ผ่าน 7 มาตรการหลักในการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ที่ครอบคลุมผลไม้หลักทุกชนิด โดยเฉพาะทุเรียน

นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้รายงานสถานการณ์ในพื้นที่ เช่น เรื่องการตรวจพบสารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและใกล้เคียงได้แก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง มีการบิ๊กคลีนนิ่งเพื่อกำจัดสารปนเปื้อน มีการร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหานี้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการรวบรวมผลผลิตทุเรียนที่ใกล้จะถึง จะไม่พบสารตกค้าง BY2 อย่างแน่นอน

นายพิชัย กล่าวว่า ได้มีโอกาสหารือและประสานงานกับนายอู๋ จื้ออู่ อัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยในหลายโอกาส ได้แจ้งให้ทราบถึงความเข้มงวดในการตรวจสอบและการดำเนินการในพื้นที่เพื่อสร้างความมั่นใจและขอให้ประสานกับทางการจีน ให้ช่วยผ่อนคลายการตรวจสอบทุเรียนที่นำเข้าจากไทย โดยให้สุ่มตรวจ ไม่ต้องตรวจสอบ 100% โดยไทยจะคุมเข้มและตรวจสอบ 100% ก่อนการส่งออก เพราะเกรงว่า การตรวจสอบทุกล็อต ทุกตู้คอนเทนเนอร์ จะทำให้เกิดความล่าช้าและอาจทำให้ทุเรียนที่รอการตรวจสอบเพื่อนำเข้าสู่จีนเน่าเสียหายได้ ก็ได้รับทราบข่าวดีจากทางท่านอัครราชทูตว่า ขณะนี้ทางจีนน่าจะได้มีการผ่อนคลายการตรวจตู้ทุเรียนของไทยตามที่ร้องขอ หนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาเรื่องสารตกค้าง หรือปนเปื้อนเลย ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อเนื่อง จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อการส่งออกและยังได้เรียนเชิญอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ไปตรวจสอบคุณภาพทุเรียนของไทย เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้ทั้งทางผู้ส่งออกและชาวสวนไทยอีกด้วย

นอกจากจะรักษาการส่งออกในตลาดเดิมคือ ประเทศจีนแล้ว กระทรวงพาณิชย์ยังได้วางแผนหาตลาดต่างประเทศ เร่งขยายตลาดส่งออกผลไม้ไปยังตลาดที่มีศักยภาพให้มากขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและอินเดีย โดยมีเป้าหมายดำเนินการไม่น้อยกว่า 950,000 ตัน คาดการณ์มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยในช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 นายกรัฐมนตรีอินเดียจะเดินทางมาไทย จะหารือเพื่อผลักดันการส่งออกผลไม้ไทยไปขายในอินเดียด้วย

ทั้งนี้ ด้วยผลไม้ไทยมีรสชาติและคุณภาพที่แตกต่างจากผลไม้ของต่างประเทศ ทั้งยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่ได้รับการเผยแพร่จากนักวิจัยว่าทุเรียนไทยมีสารอาหารในปริมาณที่มากกว่าทุเรียนของประเทศอื่น ด้วยลักษณะ ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์เล็งจะนำทุเรียนไทย ขึ้นทะเบียน GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) เพื่อให้เน้นย้ำถึงภาพลักษณ์และคุณภาพของทุเรียนว่าจะบริโภค “ทุเรียน ต้องเป็น ทุเรียนไทยเท่านั้น” และจะเดินหน้าเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ผลไม้ไทยให้เป็นที่จดจำในเวทีโลกมากขึ้น

กระทรวงพาณิชย์เปิดประชุม WAR ROOM ติดตามสถานการณ์ผลไม้ไทย ปี 2568 ณ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน พร้อมด้วยนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัด เข้าร่วม เพื่อเกาะติดสถานการณ์ผลไม้ในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออกมาก พร้อมเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ผลักดันส่งออกผลไม้ไทยในต่างประเทศ โดยกรมการค้าภายใน การการค้า ต่างประเทศ และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้รายงานถึงสถานการณ์สภาพปัญหาและมาตรการด้านการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงสถานการณ์ของผลไม้ไทยในแต่ละพื้นที่ เช่น จากพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี พาณิชย์จังหวัดพิษณุโลกและทูตพาณิชย์ในประเทศจีน

นายพิชัย เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเต็มที่ โดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันผลักดัน 7 มาตรการ ครอบคลุม 25 แผนงาน ทั้งเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ ขยายตลาดต่างประเทศ อำนวยความสะดวกด้านการนำเข้า-ส่งออก และเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบคุณภาพและโลจิสติกส์ เพื่อบริหารจัดการผลไม้เชิงรุก ให้ราคาดีตลอดทั้งปี

สำหรับตลาดในประเทศ จะมีการเชื่อมโยงตลาดล่วงหน้า (Pre-Order) กระตุ้นการบริโภคผ่าน แคมเปญ “Thai Fruits Festival” ซึ่งปีนี้คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยกว่า 39 ล้านคน รวมถึงใช้กลไกพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศกระจายผลไม้ไปยังห้างค้าปลีกและตลาดท้องถิ่น เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา

ด้านตลาดต่างประเทศ ได้กำชับทูตพาณิชย์ให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยเฉพาะบริเวณด่านจีนและเส้นทางส่งออกสำคัญต่างๆ โดยเร่งแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกให้การส่งออกผลไม้ไทยคล่องตัวที่สุด นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศยังเร่งขยายตลาดใหม่ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ โดยให้ทูตพาณิชย์เป็น หัวหอกบุกตลาด สร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลไม้ไทยผ่านการประชาสัมพันธ์และนำคณะผู้ประกอบการไปเจรจาธุรกิจในพื้นที่จริง

จากรายงานพายุฤดูร้อนที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออก กระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดในพื้นที่แหล่งผลิต ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อผลผลิตและกำหนดแนวทางรองรับหากมีผลไม้เกรดรองเพิ่มขึ้น โดยกรมการค้าภายในเตรียมแผนระบายผลผลิตผ่านการค้าชายแดนและตลาดในประเทศและยังเพิ่มมาตรการคุ้มครองเกษตรกร ป้องกันการกดราคาหรือเอาเปรียบเกษตรกร โดยส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบการติดป้ายราคาและเครื่องชั่งให้เที่ยงตรง พร้อมดำเนินคดีผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด

นายพิชัย ย้ำว่า แผนงานในปีนี้มุ่งหวังให้เป็น “ปีทองของผลไม้ไทย” ที่จะช่วยให้เกษตรกรไทยกว่า 1.15 ล้านครัวเรือน มีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาผลไม้ที่สูงขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ รัฐบาล โดยการนำของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้ความใส่ใจกับเกษตรกรและภาคการเกษตรของไทย กระทรวงพาณิชย์พร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้ผลไม้ไทยมีตลาดรองรับที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัดทำงานกันอย่างใกล้ชิด เกษตรกรไทยต้องขายผลไม้ได้ราคาดี มีรายได้เพิ่มขึ้น และอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยได้เน้น 3 เรื่อง ได้แก่ 1. สั่งการให้มีการรายงานสถานการณ์ผลไม้ไทยเป็นประจำทุกวัน ต้องการข้อมูลทั้งจากพาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์ มาวางแผนแก้ปัญหาให้ตรงจุด ทันสถานการณ์ ผลไม้ทุกเกรดต้องขายได้ทันการณ์ 2. กำชับทูตพาณิชย์ให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยเฉพาะบริเวณด่านจีนและเส้นทางส่งออกสำคัญต่างๆ โดยเร่งแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกให้การส่งออกผลไม้ไทยคล่องตัวที่สุด ขอชวนทุกฝ่ายเร่งตรวจสอบการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้สร้างความเชื่อมั่นว่า ผลไม้จากไทยมีคุณภาพสูง 3. เน้นย้ำเรื่องการตลาด ว่าต้องมีการวัดผลและแบ่งงานแบบตรงเป้า เช่น ในแต่ละหน่วยงาน แต่ละประเทศจะช่วยกระจายผลผลิตจากจังหวัดต่างๆ ได้ในปริมาณเท่าไหร่ เพื่อดูแลพี่น้องชาวสวนให้ดีที่สุด ได้ราคาดีที่สุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง