นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงการแก้ปัญหาราคาพืชผลเกษตร โดยได้เชิญ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มาพูดคุยถึงสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร รวมทั้งเร่งหามาตรการที่จะช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกร โดยเฉพาะในส่วนของราคาข้าวเปลือก มันสำปะหลัง ข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ที่มีแนวโน้มว่าราคาจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหา มาตรการในการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างจริงจัง ทั้งในส่วนของการพัฒนาพันธุ์ที่เหมาะสม การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ รวมทั้งการศึกษาถึงความต้องการของตลาด
นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ตามข้อสั่งการของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อติดตามการรับซื้อมันสำปะหลังของเกษตรกร ตามโครงการเพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าพืชไร่ โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดจุดรับซื้อมันสำปะหลังของเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นที่แรก และทยอยเปิดเพิ่มใน จ.นครสวรรค์ อุบลราชธานี ลำปาง ล่าสุด จ.สระแก้ว เนื่องจากราคาที่เกษตรกรขายได้ต่ำกว่าจังหวัดอื่น ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 27 จุด โดยมีโรงแป้งและลานมัน ใน จ.นครราชสีมา ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด และกำแพงเพชร เป็นผู้รับซื้อตามโครงการฯ ในส่วนของ จ.อุบลราชธานี ได้เปิดจุดรับซื้อในพื้นที่ อ.โพธิ์ไทร และ อ.เขมราฐ มีโรงแป้งรายใหญ่ คือ บจก. แป้งมันร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด เข้ามาช่วยรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าราคาที่ซื้อขายกันในพื้นที่กิโลกรัมละ 1.40 บาท ทำให้ราคาขยับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 1.65 บาท ที่เชื้อแป้ง 25% ขณะนี้ได้รับซื้อผลผลิตตามโครงการฯ แล้วกว่า 1,900 ตัน
นายคุณากร กล่าวว่า ได้รับฟังจากเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ว่า โครงการนี้ได้ช่วยเหลือเกษตรกรเป็นอย่างดี เพราะได้รับราคาสูงกว่าการขายนอกโครงการ เกษตรกรจึงเสนอขอให้ขยายระยะเวลารับซื้อออกไปอีก เนื่องจากยังคงมีผลผลิตคงเหลือของเกษตรกรที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวอีกจำนวนหนึ่ง และอยากให้ผู้รับซื้อปลายทางเพิ่มปริมาณการรับซื้อต่อวันด้วย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งข่าวดีให้เกษตรกรทราบว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ได้มีมติขยายระยะเวลารับซื้อถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 แล้ว และหลังจากนี้จะทยอยเปิดเพิ่มในจังหวัดอื่นที่เกษตรกรยังได้รับราคาต่ำให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการยกระดับราคาสินค้าเกษตรทุกชนิดทั้งระยะสั้นและระยะยาว สำหรับมันสำปะหลัง ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาแล้ว 4 โครงการ เป้าหมาย 6.2 ล้านตัน เพื่อช่วยดึงผลผลิตออกจากตลาดโดยสถาบันเกษตรกร รวมทั้งผู้ประกอบการแปรรูป และรัฐชดเชยดอกเบี้ยให้เป็นการช่วยเหลือสภาพคล่อง ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อลดต้นทุน การผลิต และส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าโดยให้เกษตรกรแปรรูปหัวมันสดเป็นมันเส้นจากเครื่องสับมันสำปะหลังที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน สนับสนุนงบประมาณให้
นายคุณากร ย้ำว่า ราคารับซื้อขึ้นอยู่กับคุณภาพและเปอร์เซ็นต์แป้งของมันสำปะหลัง ขอให้เกษตรกรเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตที่มีคุณภาพ และรักษาสิทธิ์ของตนเองในการนำผลผลิตมาจำหน่ายโดยให้มีการวัดเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งทุกครั้ง เพื่อจะได้ราคาที่ยุติธรรม และให้เกษตรกรมั่นใจในการนำผลผลิตมาขาย ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และสำนักงานสาขาชั่งตวงวัดกำกับดูแลลานรับซื้อใช้เครื่องชั่งน้ำหนัก และเครื่องวัดเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งที่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ ด่านพรมแดนถาวรช่องเม็ก ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและผ่านแดนและคุมเข้มมันสำปะหลังที่นำเข้าผ่านด่านชายแดน
นายพิชัย เปิดเผยว่า ตลาดมันสำปะหลังยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดจีนที่มีความต้องการสูง สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร แอลกอฮอล์ และอาหารสัตว์ โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 19 มีนาคม 2568 ยอดสั่งซื้อมันเส้นและมันอัดเม็ดรวม 1.74 ล้านตัน มูลค่า 10,981 ล้านบาท และคาดว่าสามารถส่งออกแป้งมันสำปะหลังได้อีก 1.05 ล้านตัน มูลค่า 16,011 ล้านบาท ซึ่งช่วยดูดซับผลผลิตหัวมันสดในประเทศกว่า 8.71 ล้านตัน เพื่อปกป้องเกษตรกรไทย กระทรวงพาณิชย์ได้เพิ่มความเข้มงวดกวดขันในการตรวจสอบมาตรฐานมันสำปะหลังที่นำเข้า รวมถึงการขนย้ายข้ามเขตชายแดน โดยในเดือนมกราคม 2568 ปริมาณนำเข้าลดลงถึง 32% เมื่อเทียบกับปีก่อน และได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพมันสำปะหลังนำเข้า ให้กรมการค้าภายในตรวจสอบน้ำหนักมันสำปะหลังนำเข้าว่าเป็นไปตามใบอนุญาตหรือไม่และให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด กำกับดูแลผู้ประกอบการโรงแป้งและโรงแอลกอฮอล์ให้รับซื้อตามเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งมาตรฐาน เพื่อช่วยให้เกษตรกรขายมันสำปะหลังได้ในราคาที่เป็นธรรม ป้องกันสินค้าไร้คุณภาพทะลักเข้าตลาด พร้อมยกระดับมาตรฐานการค้าของไทยในตลาดโลก
นอกจากนี้ กรมการค้าภายใน ยังมีมาตรการควบคุมการขนย้ายหัวมันสำปะหลังสดและมันเส้น โดยห้ามขนย้ายหัวมันสำปะหลังสด หรือมันเส้น ซึ่งมีปริมาณครั้งละตั้งแต่ 10,000 กิโลกรัมขึ้นไป เข้ามาหรือออกจากท้องที่ที่กำหนดไว้ 60 อำเภอ 16 จังหวัด เว้นแต่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายพิชัย กล่าวว่า ตั้งใจมาดูให้เข้มงวดและกวดขันเรื่องการนำเข้ามันสำปะหลัง ซึ่งขณะนี้เกษตรกรมีปัญหาเรื่องราคาตกต่ำ เราจะมาช่วยกันแก้ไขในหลายด้านและทำให้การค้าขายผ่านด่านช่องเม็กมีความสะดวกยิ่งขึ้น เพราะการค้าชายแดนและผ่านแดนในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 1.81 ล้านล้านบาท โตขึ้น 6.1% ยิ่งมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น จะยิ่งได้ดุลการค้าเพิ่มขึ้นและการส่งออกไปอาเซียนในอนาคตจะมีมูลค่าการค้าสูงถึง 30-40% ของการส่งออกไทย จะเป็นช่องทางที่เป็นประโยชน์ในอนาคต แม้ด่านช่องเม็กยังไม่มีสินค้าด้อยคุณภาพผ่านทางนี้ แต่ได้ให้ป้องกันไว้เพราะสินค้าด้อยคุณภาพเป็นเรื่องที่ SMEs ไทยกังวล ซึ่งได้แจ้งให้ทางด่านช่องเม็กและด่านอื่นๆ ช่วยกันควบคุมสินค้าด้อยคุณภาพที่ผ่านชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้ SMEs ไทยได้รับผลกระทบ
ด่านถาวรช่องเม็ก เป็นจุดผ่านแดนไทย-ลาว ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ห่างจากตัวจังหวัด ราว 90 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ชายแดนติดต่อระหว่างไทยกับลาว ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนจุดเดียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่สามารถเดินทางไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทางพื้นดิน ในขณะที่จุดอื่นจะต้องข้ามแม่น้ำโขง
ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ด่านศุลกากรช่องเม็ก มีการส่งออกมูลค่า 3,393 ล้านบาท นำเข้า มูลค่า 5,880 ล้านบาท โดยมีสินค้าที่นำเข้าสูงสุดผ่านด่านช่องเม็ก ประกอบด้วย 1. มันสำปะหลัง (มันเส้น) 2. พลังงานไฟฟ้า 3. เมล็ดกาแฟดิบอาระบิก้า 4. มันสำปะหลัง (หัวมันสด) 5. เมล็ดกาแฟดิบโรบัสต้า และสินค้าส่งออกสูงสุด ประกอบด้วย 1. น้ำมันเชื้อเพลิง 2. พลาสติก (บรรจุภัณฑ์และของใช้จากพลาสติก) 3. รถไถนา 4. รถยนต์ และ 5. นมกล่อง และเครื่องดื่มอื่นๆ
โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนไทยอยู่ที่ 154,354 ล้านบาท ขยายตัว 19.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออก 86,020 ล้านบาท (+20.8%) และนำเข้า 68,334 ล้านบาท (+18.8%) ส่งผลให้ 2 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 299,494 ล้านบาท (+10.9%) สำหรับการค้าชายแดนเดือนกุมภาพันธ์ มีมูลค่ารวม 86,543 ล้านบาท (+8.9%) โดยแบ่งเป็น สปป.ลาว 28,078 ล้านบาท (+8.4%) มาเลเซีย 25,401 ล้านบาท (+15.6%) เมียนมา 17,470 ล้านบาท (-3.3%) และกัมพูชา 15,594 ล้านบาท (+15%) ขณะที่การค้าผ่านแดน มีมูลค่ารวม 67,811 ล้านบาท (+37.7%) โดยตลาดจีนขยายตัวสูงสุดที่ 38,537 ล้านบาท (+55.5%) รองลงมาคือ สิงคโปร์ 10,102 ล้านบาท (+48.8%) และเวียดนาม 5,583 ล้านบาท (+20.6%)