ตามนโยบายนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาและป้องกันฝุ่น PM2.5 อย่างเร่งด่วน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างผลักดันพระราชบัญญัติอากาศสะอาด โดยกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหา PM2.5 ทั้งระบบ ในระหว่างนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของฝุ่นข้ามพรมแดนเป็นการเร่งด่วน สำหรับการกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน เนื่องจากข้าวโพดเป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หากมีการห้ามนำเข้าโดยไม่มีมาตรการรองรับ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนสินค้าส่งออก
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ ได้เร่งหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เกษตรกร และภาคเอกชน และได้ข้อสรุปถึงมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดังนี้
1.ผู้นำเข้าต้องขึ้นทะเบียน เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้
2.ต้องแสดงเอกสารรับรองว่าข้าวโพดปลอดจากกระบวนการเผา พร้อมข้อมูลสำคัญ เช่น แหล่งเพาะปลูก ที่ตั้งแปลงปลูก ปริมาณการนำเข้า และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
- หากไม่ปฏิบัติตาม จะถูกพักการขึ้นทะเบียน ทำให้ไม่สามารถนำเข้าได้
- กระทรวงพาณิชย์จะเสนอแนวทางนี้ต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ในเดือนเมษายน 2568 เพื่อให้พิจารณาบังคับใช้โดยเร็ว
นายพิชัย ระบุว่า รัฐบาลห่วงใยปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างมาก ถือเป็นวาระเร่งด่วนที่เราต้องรีบแก้ไข กระทรวงพาณิชย์จะเร่งดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และรักษาสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลมุ่งมั่นแก้ไขปัญหานี้ให้เร็วที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด รวมทั้งต้องคิดอย่างเป็นระบบและรอบคอบมากที่สุด โดยคำนึงถึงทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ จนถึงประชาชนทั่วไป เพื่อให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด พร้อมยืนยันว่าจะติดตามและประเมินผลมาตรการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการลดมลพิษและรักษาเสถียรภาพด้านการค้าและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศ ได้เชิญทูตพาณิชย์มาหารือเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อทำความเข้าใจถึงความจำเป็นที่กระทรวงพาณิชย์ต้องกำหนดมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหา PM2.5 ในประเทศไทย
กรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะหน่วยงานที่ออกกฎระเบียบทางการค้าได้กำหนดมาตรการโดยคำนึงถึงการร่วมแก้ไขปัญหา PM2.5 เพื่อปกป้องสวัสดิภาพทางสุขอนามัยทางอากาศของประชาชนไทยเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกันต้องมีความสมดุลในการกำหนดมาตรการนำเข้าเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนตลอดห่วงโซ่การใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 4 ประเทศ ที่ต้องร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยเน้นย้ำว่ามาตรการที่จะกำหนดเป็นมาตรการที่ใช้กับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากทุกประเทศ แต่ใช้กับสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นกลุ่มแรก เพื่อให้เป็นไปตามหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) และความตกลงการเสรีต่าง ๆ ที่ไทยร่วมเป็นภาคีสมาชิก ทั้งนี้ ได้ชี้แจงหลักการของการควบคุมที่ประเทศผู้ส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะต้องจัดเตรียม อาทิ
(1) แบบฟอร์มเพื่อใช้ประกอบการนำเข้า
(2) เอกสารรับรองจากหน่วยงานผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ (Competent Authority : CA) ของประเทศผู้ส่งออกที่ยืนยันว่าสินค้าที่ส่งออกมาจากแหล่งเพาะปลูกที่ไม่มีการเผา
(3) เอกสารประกอบอื่น ๆ เช่น ภาพแผนที่ระบุพิกัดที่ตั้งแปลงปลูก (Map of Polygon) เพื่อยืนยันแปลงที่ใช้ในการเพาะปลูกของสินค้าที่นำเข้ามายังประเทศไทยว่าปลอดการเผา
นางอารดา กล่าวว่า ทูตพาณิชย์ของทั้ง 3 ชาติ มีความเข้าใจต่อความสำคัญของปัญหา PM2.5 ที่ประเทศในอาเซียนจะต้องร่วมกันแก้ไข และร่วมให้ข้อคิดเห็นว่ามาตรการที่ออกควรต้องมีการหารือร่วมกัน ตลอดจนควรจะต้องให้มีระยะเวลาในการเตรียมตัว (Transitional Period) สำหรับประเทศผู้ส่งออก และพิจารณาถึงความพร้อมในการนำเทคโนโลยีมาใช้ประกอบด้วย นอกจากนี้ ควรนำมาตรการนี้หารือในกรอบอาเซียน เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญของทั้งภูมิภาค สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบที่มีความสำคัญในห่วงโซ่การผลิตอาหารสัตว์โดยเฉพาะไก่ ซึ่งเป็นอาหารสำคัญสำหรับการบริโภคภายในประเทศ และเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย
ทั้งนี้ ไทยมีผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากการเพาะปลูกในประเทศประมาณปีละ 4 – 5 ล้านตัน แต่มีความต้องการใช้ประมาณปีละ 9 ล้านตัน จึงต้องมีการนำเข้าประมาณ 4 – 5 ล้านตันต่อปี โดยปี 2567 ไทยมีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปริมาณรวม 2.011 ล้านตัน มูลค่า 19,426.90 ล้านบาท แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ เมียนมา ปริมาณ 1,750,023.71 ตัน (87%) สปป.ลาว ปริมาณ 253,659.28 ตัน (12.61%) และกัมพูชา ปริมาณ 7,750 ตัน (0.39%) โดยทางกรมการค้าต่างประเทศจะร่วมมือกับทูตพาณิชย์ในเมียนมา เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ส่งออกที่ไม่ใช้การเผา และเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประเทศเพื่อนบ้านทราบถึงมาตรการดังกล่าว เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนซึ่งเป็นประเด็นสำคัญระดับชาติ
ที่ประชุมแนวทางการดำเนินการเพื่อลดปัญหา PM2.5 ข้ามพรมแดน เห็นด้วยกับหลักการที่จะกำหนดมาตรการให้ผู้นำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่
กรมการค้าต่างประเทศกำหนด
- จะต้องแสดงเอกสารประกอบการนำเข้า ทั้งแบบฟอร์มการแจ้งข้อมูลประกอบการนำเข้า ตามที่กำหนด
- เอกสารรับรองจากหน่วยงานผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ (Competent Authority : CA) ของประเทศผู้ส่งออกว่า สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้าในงวดดังกล่าว เป็นสินค้าที่มาจากแหล่งเพาะปลูกที่ไม่มีการเผา
- พิสูจน์ได้ว่าผู้เพาะปลูก/ผู้ส่งออก/ผู้รวบรวมมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับและต้องมีภาพแผนที่แสดงถึงแปลงที่ใช้ในการเพาะปลูกให้ชัดเจน เบื้องต้นจะใช้บังคับกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นลำดับแรก ก่อนขยายขอบเขตไปยังสินค้าเกษตรอื่นๆ ต่อไป
ทั้งนี้ มั่นใจว่ากระบวนการดังกล่าว จะไม่สร้างภาระแก่ผู้ประกอบการจนเกินความจำเป็น โดยภาคเอกชนทั้งสมาคมผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ และภาคธุรกิจของไทยที่เข้าไปลงทุนด้านการทำเกษตรในประเทศเพื่อนบ้าน ต่างได้ร่วมแสดงเจตจำนงชัดที่จะจัดการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนที่เป็นประเด็นสำคัญระดับชาติ นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศจะประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแจ้งกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้รับทราบมาตรการของไทยและเร่งขอให้มีการกำหนด CA เพื่อออกหนังสือรับรองต่อไป และจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องป้องกันการลักลอบนำเข้าด้วย