นายกฯ สั่งทุกหน่วยเร่งจัดการผลกระทบแผ่นดินไหว พร้อมรายงานผลใน 1 สัปดาห์

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เพื่อติดตามสถานการณ์ ผลกระทบ และการแก้ไขปัญหาภัยจากแผ่นดินไหว ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการระทรวงมหาดไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารส่วนราชการ และผู้ว่าราชการทุกจังหวัด เข้าร่วมประชุม

ทันทีที่เริ่มการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า เมื่อเกิดแผ่นดินไหวแล้ว แต่ละหน่วยงานได้ทำอะไรบ้าง ซึ่งนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ. แจ้งว่า เมื่อได้รับการแจ้งเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา ก็ได้ส่งข้อความให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แจ้งเตือนประชาชนทันที 4 ครั้ง เริ่มตั้งแต่เวลา 14.42 น. ซึ่ง กสทช. ก็รับแจ้งต่อทันทีในเวลา 14.44 น. ในพื้นที่ 4 จังหวัด กทม.และปริมณฑล แต่ยอมรับว่า การส่ง SMS มีความล่าช้า เนื่องจาก ระบบมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนในการส่งข้อความ ที่สามารถทยอยส่งได้คราวละ 1-2 แสนรายเท่านั้น และจะแจ้งได้เมื่อได้รับข้อความจาก ปภ.

นายกรัฐมนตรี ได้ท้วงติงว่า การแจ้งเตือนประชาชนยังมีความล่าช้า ซึ่งตนเองได้สั่งการทันทีภายหลังทราบสถานการณ์ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. แต่ระบบไม่มีการแจ้งเตือนไปยังประชาชน รวมถึงข้อบกพร่องในการประสานงานกับค่ายมือถือต่างๆ ก็ล่าช้า ตลอดจนข้อความที่แจ้งเตือนประชาชนก็ไม่มีประโยชน์มากนัก ข้อความที่สื่อสารออกไปเกิดประโยชน์น้อยมากต่อประชาชน ไม่ตรงตามความต้องการ

นายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่าตนเองผิดเอง ที่ไม่ได้แจ้งว่าจะต้องแจ้งข้อความอย่างไร ขณะเดียวกันเชื่อว่า เมื่อระบบ Cell Broadcast เริ่มใช้งานได้ จะตอบโจทย์สถานการณ์ภัยพิบัติของไทย โดยได้ขอบคุณรายการโทรทัศน์ทั้งหมดที่ออกรายการเฉพาะกิจ สามารถทำได้ภายในไม่ถึง 5 นาที  หลังจากที่ได้สั่งการ พร้อมกำชับทุกคน ให้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องแผ่นดินไหวกับประชาชนให้มากขึ้น ว่าต้องทำตัวอย่างไรเมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้น

สำหรับระบบขนส่งสาธารณะหยุดบริการ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม รายงานว่า ทันทีที่เกิดเหตุนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แจ้งให้ตั้งศูนย์สั่งการของกระทรวงทันที หลังจากนั้นสั่งการให้ระบบขนส่งมวลชนหยุดบริการชั่วคราว เพื่อตรวจสอบสถานการณ์โดยทั่วไป ทั้งทางอากาศ รางและน้ำ โดยมุ่งเน้นโครงสร้างยกระดับอุโมงค์ใต้ดินให้วิศวกรเข้าตรวจสอบ ส่วนทางอากาศสั่งปิดทันที ตรวจสอบโครงสร้างอาคารและรันเวย์ ก่อนกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งภายใน 1 ชั่วโมง ส่วนโครงสร้างถนนทุกหน่วยได้ตรวจสอบทันที โดยเฉพาะเส้นทางที่สุ่มเสี่ยงคือ สะพานข้ามแม่น้ำ ทางยกระดับของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พบว่ามีปัญหาจุดเดียวคือบริเวณ ทางขึ้น-ลงเชื่อมระหว่างทางด่วนกับถนนวิภาวดีรังสิต -ดินแดง ที่มีเครนจากบนอาคารเอกชนพังลงมาทับ

นายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินอีก รวมทั้งอุบัติเหตุ ขอให้วางแผนเตรียมไว้ เพื่อแจ้งประชาชนว่าเส้นทางไหนปิดหรือมีปัญหา ควรส่ง SMS บอกข้อมูลแจ้งประชาชนได้

จากนั้น ปลัดกระทรวงคมนาคม ยังรายงานว่า ทางราง ทางยกระดับและใต้ดิน ที่ปิดตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 68  เปิดให้บริการหมดแล้วตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 29 มี.ค. 68 ยกเว้นสายสีชมพูกับสายสีเหลืองปิดอีก 1 วัน เพื่อตรวจสอบโครงสร้าง ขณะที่ถนนเปิดทั้งหมดแล้ว ยกเว้นทางขึ้นทางด่วนวิภาวดีที่เครนพังลงมา

นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี รายงานว่าจากที่ได้ติดตามสถานการณ์ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบันพบว่าหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวมีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นกว่า 100 ครั้ง และทุกครั้งที่เกิดจะมีความรุนแรงน้อยลง แนวโน้มการเกิดอาฟเตอร์ช็อกจะเลื่อนไปทางทิศเหนือ ทางเทือกเขาหิมาลัยและประเทศจีน จะเกิดห่างจากไทยมากขึ้นกว่าเดิม ยืนยันว่าผลกระทบกับประเทศไทยน้อยลง และหากเกิดแรงสั่นสะเทือนเพียงระดับ  5 ก็จะไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า กรมอุตุนิยมวิทยา ยืนยันว่า อาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) ที่เกิดขึ้นต่อจากนี้จะไม่ส่งผลกระทบรุนแรง อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงระบบแจ้งเตือนภัย เพื่อให้สามารถกระจายข้อมูลได้รวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติหรืออุบัติเหตุขนาดใหญ่”

นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกข้อมูลที่ทุกหน่วยงานได้นำเสนอและให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ รัฐบาลจะช่วยกันหามาตรการที่รัดกุม และแนวทางป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้มากที่สุด โดยได้สั่งการ ดังนี้

1. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปภ. และ กสทช. โดยให้ ปภ. ที่มีอำนาจหน้าที่ในการเตือนภัยดำเนินการส่งหนังสือ และข้อความ SMS ที่จะ broadcast ไปให้ กสทช. ในทันที (โดยที่ไม่ต้องรอการประชุม หรือคำสั่งการจากนายกรัฐมนตรี) โดยที่ กสทช. ทำงานร่วมกับ operator เพื่อเตรียม capacity (ความจุ) ไว้ให้เพียงพอและเพิ่ม capacity ในการส่งข้อความ SMS ในยามฉุกเฉิน และขอให้ ปภ. เร่งพัฒนาระบบ cell broadcast ที่สามารถ ส่งข้อความฉุกเฉินไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในไทยได้ทันที ภายในเวลา 3 เดือน

2. ให้กรุงเทพมหานคร เร่งดำเนินการค้นหาผู้สูญหาย และเร่งหามาตรการในการควบคุมการออกใบอนุญาตอาคารสูง การกำหนดมาตรฐาน และตรวจสอบอาคารสูงเพื่อรองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้ หากปล่อยปละละเลยสร้างอาคารเสร็จแล้วมีผู้อาศัย แล้วไม่มีคุณภาพจะเกิดปัญหาที่มากกว่าขณะนี้ นอกจากนี้ ขอความร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในการตรวจสอบโบราณสถานต่าง ๆ ว่าได้รับผลกระทบหรือไม่

3. ให้กระทรวงกลาโหม นอกจากการจัดหายุทโธปกรณ์ในการบริการประชาชน รถ โรงครัว รถขนส่งแล้ว ขอให้หน่วยงานความมั่นคง เตรียมกำลังพล เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

4. ให้กระทรวงสาธารณสุข เตรียมแพทย์สำรอง และเตียงเสริมให้เพียงพอต่อความต้องการ ที่สำคัญการเยียวยาทางด้านจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบและครอบครัว

5. ให้กระทรวงมหาดไทย ปภ. ต้องมีมาตรการที่ชัดเจนในการแจ้งเตือน ถ้าหากไม่มีแนวทางที่ชัดเจน จะต้องมีการจัดการที่เด็ดขาดต่อไป และนายกรัฐมนตรีจะติดตามเป็นระยะๆ

6. ให้กระทรวงคมนาคม มีมาตรการที่ชัดเจนในการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน อาคารสูง ขอให้
กรมโยธาธิการและผังเมือง สภาวิศวกรรมสถาน มีการตรวจสอบที่เข้มงวด

7. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมมือกับทางสภาวิศวกรรมสถาน และกรมโยธาธิการและผังเมืองตรวจสอบโรงแรมขนาดสูง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว

โดยขอให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการและจะติดตาม ผลภายใน 1 สัปดาห์ถึงมาตรการที่ชัดเจน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังลงพื้นที่เยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวทั่วประเทศ ไว้เป็นคนไข้ในพระบรม ราชานุเคราะห์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

สำหรับโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ขณะนี้มีผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาจำนวน 2 ราย โดยหนึ่งรายเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน และอีกรายเป็นผู้ป่วยทั่วไป ซึ่งทั้งสองรายเป็นแรงงานต่างชาติ สำหรับการรองรับกรณีผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาล สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยลงมาที่ชั้นล่างได้อย่างรวดเร็วกว่า 500 คน เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ผู้ป่วยสามารถกลับเข้ารับการรักษาได้อย่างปลอดภัย และมีการประสานงานเป็นอย่างดี

นายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับกระทรวงสาธารณสุข ให้สื่อสารทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน เน้นย้ำเรื่องมาตรการป้องกัน เช่น มาตรการหนีไฟ เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจดูความเรียบร้อยรถไฟฟ้ามหานคร สายสีน้ำเงิน (MRT) ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สนามไชย (BL31) เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับการให้บริการประชาชน ภายหลังเหตุเเผ่นดินไหว และการใช้งาน หลังจากนายกรัฐมนตรีลงตรวจรถไฟฟ้ามหานคร (ใต้ดิน) โดยขึ้นจากสถานีสนามไชยไปลงที่สถานีศาลาแดง พบว่ามีประชาชนให้ความมั่นใจใช้บริการเป็นจำนวนมาก ส่วนรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการตรวจสอบความปลอดภัยให้ได้ 100% เนื่องจากเป็นทางรถไฟยกระดับแบบโมโนเรล

นายกรัฐมนตรีได้สอบถาม นายวิทยา พันธุ์มงคล รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ) รักษาการแทน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เรื่องการอพยพผู้โดยสาร ซึ่งได้รับรายงานว่า การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผู้โดยสารปลอดภัย ส่วนเรื่องอาณัติสัญญาณการเดินรถและโครงสร้างสถานี พบว่าเป็นปกติ และโครงการสถานีมีความแข็งแรง มีแต่วัสดุมวลเบาเท่านั้นที่ตกหล่น โดยเจ้าหน้าที่มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง สำหรับการเดินรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูนั้น ยังคงต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบอีกครั้ง และจะมีการทดลองเดินรถก่อนที่จะเปิดให้บริการต่อไป

ทั้งนี้ ระหว่างการตรวจความเรียบร้อยรถไฟฟ้ามหานคร สายสีน้ำเงิน ( MRT ) นายกรัฐมนตรี พร้อมรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินดังกล่าว ระหว่างการเดินทาง นายกรัฐมนตรี ได้แวะทักทายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยว ได้ตอบนายกรัฐมนตรีว่า ทุกอย่างโอเค รู้สึกถึงการสั่นไหวนิดหน่อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติในหลายประเทศก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ ทำให้มีความคุ้นชินกับแผ่นดินไหว และเมื่อสถานการณ์หยุดก็ใช้ชีวิตปกติ พร้อมกล่าวว่าชื่นชอบกรุงเทพมหานคร และใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นปกติ เพราะมีความสะดวก

นายกรัฐมนตรี กล่าวให้ความมั่นใจว่า จากการตรวจสอบ ขอให้ประชาชนมั่นใจถึงความปลอดภัยได้ 100% รัฐบาลคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก หากไม่มีความปลอดภัย ไม่นำชีวิตประชาชนมาเสี่ยง เพราะชีวิตของประชาชนสำคัญที่สุด ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู คาดว่าจะกลับมาเปิดใช้บริการได้ในวันที่ 30 มีนาคม 2568

สำหรับมาตรการเยียวยาผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว นายกรัฐมนตรีระบุว่า มีมาตรการเตรียมไว้แล้ว พร้อมประกาศใช้ แต่จะมีการพิจารณาทบทวนอย่างเหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

ส่วนการตรวจสอบโครงสร้างตึก สตง. ที่เป็นประเด็นในการตั้งข้อสังเกตว่าในหลายพื้นที่ก็มีการก่อสร้าง แต่มีเพียงตึก สตง. เพียงจุดเดียวที่เกิดการถล่มลงมา นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ในส่วนดังกล่าว ตนเองมีข้อสงสัยเช่นกัน เพราะว่าเป็นเพียงแค่ตึกเดียว เพราะฉะนั้นเป็นที่แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าว ไม่มีทางปล่อยผ่านอย่างแน่นอน ต้องมีการติดตามสาเหตุ โดยให้ผู้ที่มีความรู้ เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง ตั้งคณะกรรมการและตรวจสอบ ซึ่งจะใช้เวลาภายใน 1 สัปดาห์กลับมารายงาน ในส่วนนี้ได้ให้ไทม์ไลน์และสั่งการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้สั่งการคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญ ให้ comment และตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุอะไร แบบที่ก่อสร้างถูกอนุมัติผ่านได้โดยใคร ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้สอบถามแล้วว่า ในการก่อสร้างตึกดังกล่าว วิธีการเช่นนี้มีเพียงตึกเดียวในประเทศหรือไม่ เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ จะต้องติดตามและตรวจสอบอย่างแน่นอน

ด้านนายวิทยา ยาม่วง ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยคมนาคม กระทรวงคมนาคม ได้รายงานสถานการณ์เมื่อเวลา 13.00 น. (29 มี.ค. 68) ถนนทุกเส้นทางและสะพานเปิดให้บริการตามปกติ ยกเว้น ทางขึ้น-ลง ทางด่วนดินแดง ยังคงปิดให้บริการชั่วคราว เนื่องจากอยู่ระหว่างการนำเครนออกจากตึกอาคาร ระบบราง BTS MRT และ Airport link เส้นทางต่างๆ เปิดให้บริการเป็นปกติ ยกเว้นรถไฟฟ้าสายนัคราพิพัฒน์และรถไฟฟ้าสายสีชมพู ยังคงปิดให้บริการ เพื่อตรวจสอบ ชุด Bogie ช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อนที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดและรางจ่ายกระแสไฟฟ้าบริเวณคานทางวิ่งด้านนอก และจะประเมินความพร้อมอีกครั้งก่อนให้บริการในวันที่ 30 มีนาคม 2568 ส่วนทางน้ำและทางอากาศ เปิดให้บริการเป็นปกติ สำหรับความเสียหายอื่นๆ ทั่วประเทศอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง