รัฐบาลเร่งดำเนินการ สำรวจ-ช่วยเหลือ-เยียวยา-ดูแลทุกมิติ จากเหตุแผ่นดินไหว

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะฝ่ายเลขานุการกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) รายงานจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว (28 มี.ค. 68) สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน รวม 63 จังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานคร โดยมี Aftershock ขนาด 2.8 – 7.1 เกิดขึ้นรวม 177 ครั้ง และจะเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่จะไม่รุนแรงและไม่ส่งผลกระทบหรือรู้สึกสั่นไหว (ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา 30 มี.ค. 68 เวลา 16.00 น.) มีรายงานความเสียหายในพื้นที่เพิ่มเติม รวม 18 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และชัยนาท รวมถึงกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุด

สำหรับข้อมูลผู้เสียชีวิตเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีผู้เสียชีวิตรวม 12 ราย บาดเจ็บ 9 ราย และสูญหาย 76 ราย ในส่วนของความเสียหายด้านที่อยู่อาศัย มีบ้านเรือนเสียหาย 591 หลัง วัด 55 แห่ง โรงพยาบาล 86 แห่ง อาคาร 9 แห่ง โรงเรียน 52 แห่ง และสถานที่ราชการ 25 แห่ง

ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว จังหวัดสามารถใช้งบประมาณจากเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด วงเงิน 20 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้สามารถดำเนินการสำรวจและจัดทำบัญชีความเสียหายเพื่อพิจารณาช่วยเหลือตามระเบียบหลักเกณฑ์ ถ้าหากไม่เพียงพอสามารถขอขยายวงเงินกับกรมบัญชีกลางได้เพื่อให้ความช่วยเหลือมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยจากข้อมูลขณะนี้พบว่ามีจังหวัดทางภาคเหนือที่มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง หากงบประมาณในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดจำนวน 20 ล้านบาท ของผู้ว่าราชการจังหวัดไม่เพียงพอขอให้แจ้งเพื่อขยายวงเงิน
ทดรองราชการฯ ได้ทันที

ขณะที่การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทางกรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีแผ่นดินไหว) วงเงิน 200 ล้านบาท โดยเน้นในด้านการดำรงชีพและด้านการปฏิบัติงานในพื้นที่ ซึ่งขั้นตอนจากนี้ไป บกปภ.ช. จะได้ประสานให้จังหวัดที่ได้รับผลกระทบเร่งตรวจสอบและจัดทำบัญชีความเสียหายและให้ความช่วยเหลือประชาชนตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว หากงบประมาณในอำนาจการอนุมัติของผู้ว่าราชการจังหวัดไม่เพียงพอให้ขอขยายวงเงินมาที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อจะได้ประสานดำเนินการต่อไปเพื่อให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด

ในส่วนพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ได้ประชุมทีมร่วมกับทางกรุงเทพมหานคร จะมีรายการที่กรุงเทพมหานครสามารถจ่ายได้ตามงบประมาณของกรุงเทพมหานคร เรื่องของค่าที่พักอาศัยชั่วคราว หรือค่าเช่า เงินปลอบขวัญ จากกรณีได้รับบาดเจ็บกรุงเทพมหานครจะเป็นผู้จ่าย ในส่วนของการจัดการศพ รวมทั้งการรักษาพยาบาล และค่าวัสดุซ่อมแซมที่อยู่อาศัยประจำ ซึ่งผู้ประสบภัยเป็นเจ้าของเองที่ได้รับความเสียหายสามารถยื่นขอให้ทางท้องถิ่น คือกรุงเทพมหานครเข้าดำเนินการสำรวจและทำบัญชีได้ เป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการเร่งรัด ให้แต่ละหน่วยโดยเฉพาะในส่วนของจังหวัดหรือทางกรุงเทพมหานครได้ทำคู่ขนานกับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในเรื่องการกู้ภัยด้วยเช่นเดียวกัน

สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่ม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร หน่วยทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ จิตอาสา อปพร. อาสาสมัคร มูลนิธิ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งให้การช่วยเหลือผู้ติดค้างภายใต้ซากอาคารอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำหนดพื้นที่ค้นหาและกู้ภัย (Zoning) อย่างเป็นระบบและชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นหาและกู้ภัยจากต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล เข้ามาสนับสนุนการปฏิบัติงาน ในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ระดมทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) ไปสนับสนุนการปฏิบัติงาน รวม 77 นาย พร้อมด้วยเครื่องมือ อุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย และสั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยกว่า 355 รายการ พร้อมสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ

“ได้ประเมินความเสียหายจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่ได้รับความเสียหาย 18 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ความเสียหายที่เกิดขึ้นความรุนแรงไม่ขยายวงกว้าง สามารถที่จะเข้าควบคุมพื้นที่ได้ จึงได้ทำประกาศเพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ลงนามในประกาศลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ภัยจากระดับ 3 (ขนาดใหญ่) ลงเป็นระดับ 2 (ขนาดกลาง) เป็นการคืนอำนาจให้กับทางผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ใช้ดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันบรรเทาสาธารณภัยปี 2550 ได้โดยศักยภาพของพื้นที่เอง ในส่วนของหนังสือลงนามเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มแจ้งตั้งแต่คืนวันที่ 30 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป”

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการตรวจสอบสภาพอากาศระยะนี้ พบว่า ตั้งแต่วันที่ (30 มี.ค. 68) เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 1 เมษายน 2568 พื้นที่ 62 จังหวัด ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มีโอกาสเกิดพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ลูกเห็บตก รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง โดยขอติดตามข้อมูลสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด

รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและการค้นหาผู้ประสบภัยในอาคารถล่ม ณ วันที่ 30 มีนาคม 2568 เวลา 19.00 น. ดังนี้

1. ปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิต ณ จุดตึกถล่ม การค้นหาผู้ประสบภัยตึกถล่มยังดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ มีการระดมทีมจากนานาชาติและปรับแผนการปฏิบัติงานให้เหมาะสมตามหน้างาน โดยจะมีการเพิ่มความปลอดภัยในบริเวณจุดค้นหา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ยอดผู้เสียชีวิตจากทุกพื้นที่ 18 ราย และบาดเจ็บ 33 ราย

2. การตรวจสอบอาคาร ประชาชนได้แจ้งร้องเรียนผ่านระบบ Traffy Fondue และสายด่วน กทม. 1555 ทั้งหมด 12,872 ครั้ง ทีมวิศวกรและวิศวกรรมสถานได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ในการพิจารณาจากข้อร้องเรียนของการแจ้งพื้นที่อาคารที่มีความกังวลเสร็จสิ้นไป 9,874 เรื่อง คิดเป็น 71% กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมมือกับวิศวกรรมสถานและอาสาวิศวกรส่งทีมตรวจสอบอาคารในพื้นที่จริง ประกอบด้วย 20 ทีม
วันที่ 29 มี.ค. 68 สามารถตรวจสอบได้ประมาณ 200 อาคาร วันที่ 30 มี.ค. 68 จำนวน 115 อาคาร รวมได้ตรวจอาคารไปแล้วทั้งสิ้น 315 อาคาร และได้มีประกาศไม่ให้อยู่อาศัย 2 อาคาร การตรวจสอบอาคารถือเป็นหน้าที่ของเจ้าของอาคาร และการอนุญาตใช้งานอาคารถือเป็นสิทธิ์ ของเจ้าของอาคาร โดยเจ้าของอาคารควรมีการตรวจสอบการใช้งานของอาคารให้มีความปลอดภัย เพื่อคลายความกังวลของผู้อยู่อาศัย 

3. การเดินทางและการสัญจร

รถไฟฟ้าดำเนินการเปิดตามปกติ ยกเว้นรถไฟฟ้าสายสีชมพู ซึ่งกำลังดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัย ทางด่วนดินแดง เปิดใช้งานในเวลา 05.00 น. (31 มี.ค. 68)

(31 มี.ค. 68) เรือด่วนเจ้าพระยา จะมีการเพิ่มเที่ยวเรือ 20 เที่ยว โดยเฉพาะที่ท่าเรือขนาดใหญ่คือ ท่าเรือสี่พระยา ท่าเรือเทเวศร์และท่าเรือสาทร และเรือคลองแสนแสบ เปิดให้บริการตามปกติ

ถนนพระราม 2 และถนนพระราม 9 ที่ประชาชนมีความกังวล ทางสำนักการจราจรดำเนินการ ตรวจสอบแล้ว ถนนทั้ง 2 แห่ง สามารถใช้การได้ตามปกติ แต่มีการปิดการจราจรบริเวณ ถนนประชาราษฎร์สาย 1 (แยกบางโพถึงแยกเกียกกาย) เนื่องจากต้อง ตรวจสอบความปลอดภัย จากเหตุการณ์เครนที่ถล่มลงมาและถนนกำแพงเพชร 2 เป็นพื้นที่บริเวณกำลังค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์อาคารถล่ม ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทาง

4. Bangkok We are OK มีการจัดดนตรีในสวน 6 แห่ง ได้แก่ สวนเบญจกิติ อุทยานเบญจสิริ สวนลุมพินี สวนรถไฟ สวนสันติภาพ และสวนจตุจักร เพื่อให้กำลังใจและฟื้นฟูจิตใจของประชาชน และให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ และสื่อสารไปยังประชาคมโลกผ่านเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย 30 ประเทศ ที่พร้อมใจร่วมงาน ณ สวนลุมพินี ว่าคนกรุงเทพฯ มั่นใจ พร้อมกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากเหตุแผ่นดินไหวทำให้เครนก่อสร้างที่ติดอยู่บนอาคารสูง หล่นลงมาบริเวณใกล้ทางขึ้น-ลง ด่านดินแดงนั้น โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แม้จะไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ได้ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกในการขนย้ายอุปกรณ์ รวมถึงการรื้อย้ายเครนของอาคารสูงอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาสัญจรได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

ความคืบหน้าล่าสุด บริษัทผู้รับเหมาอาคารสูงได้ตัดชิ้นส่วนทาวเวอร์เครนบางส่วน และจัดเก็บชิ้นส่วนโมบายเครนเสร็จแล้ว พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการรื้อถอนทาวเวอร์เครน (Derick crane) เพื่อตัดเก็บชิ้นส่วนที่เหลือ ซึ่งงานเป็นไปตามแผนฯ และเบื้องต้นยังมีชิ้นส่วนของเครนบางส่วนที่ยังไม่สามารถรื้อถอนได้ แต่ได้มีการยึดรั้งไว้อย่างหนาแน่น ภายหลังจากนี้ บริษัทผู้รับเหมาอาคารสูง จะต้องประสานงานกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการกำหนดวิธีรื้อย้ายชิ้นส่วนเครนส่วนที่เหลือต่อไป โดยจะต้องดำเนินการช่วงเวลาดึก เพื่อกระทบต่อการจราจรน้อยที่สุด และจะต้องประชาสัมพันธ์ประชาชนรับทราบ ทั้งนี้คณะทำงานฯ ได้ประเมินแล้วว่า มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ทาง ดังนั้น กทพ. เตรียมพร้อมจะเปิดให้บริการทางขึ้น-ลงด่านดินแดง ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ในวันที่ 31 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 05.00 น เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน และแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณดังกล่าว โดยคำนึงด้านความปลอดภัยสูงสุด

สำหรับการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร ภายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว พบว่า โครงสร้างทางวิ่งไม่มีปัญหา แต่จะต้องซ่อมแซมบริเวณแผ่นปิดรอยต่อคานทางวิ่งช่วงสถานีมีนบุรี-สถานีตลาดมีนบุรี เพิ่มเติม กระทรวงคมนาคม ประเมินแล้วว่า สามารถเปิดให้บริการได้ โดยจะเริ่มเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูในวันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป เบื้องต้นจะเปิดให้บริการ จำนวน 29 สถานี คือ สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี-สถานีตลาดมีนบุรี

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ไม่พบว่า โครงข่ายทางถนนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม หากประชาชนพบปัญหาในการเดินทาง หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถแจ้งเรื่อง และสอบถามได้ที่สายด่วนศูนย์ปลอดภัยคมนาคม โทร.1356 (ตลอด 24 ชั่วโมง)

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การ ต้อนรับและหารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และนายหลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยอุโมงค์ถล่มและแผ่นดินไหวของกระทรวงการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินประเทศจีน ในโอกาสหารือการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอาคารถล่ม โดยมี นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมหารือ

นายอนุทิน กล่าวขอขอบคุณ นายหาน จื้อเฉียง และทางการจีน ที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเมื่อยามประเทศไทยเกิดเหตุสาธารณภัยมาโดยตลอด ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จุดที่สร้างความเสียหายและสร้างความวิตกที่สุด คือ อาคาร สตง. แห่งใหม่ที่พังถล่ม ในส่วนอาคารอื่นๆ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดอื่นๆ โครงสร้างต่างๆ ระบบต่างๆ ได้รับความเสียหายไม่มากนัก และอยู่ในสถานะที่ควบคุมได้ โดยกรณีนี้ทางการไทย จะเร่งพิสูจน์ให้ได้ว่า เหตุใดจึงถล่ม เพราะอาคารนี้เพิ่งก่อสร้างและได้รับการออกแบบที่ต้องรองรับและทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวแล้ว โดยกระทรวงมหาดไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบ ข้อเท็จจริงขึ้นมาทำหน้าที่สืบหาข้อเท็จจริงและรายงานมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยภายใน 7 วัน เพื่อตอบข้อสงสัยของประชาชนและสังคมให้เป็นที่กระจ่าง

“เนื่องจากอาคาร สตง.หลังใหม่ที่พังถล่มนี้เป็นอาคารของทางราชการ จึงไม่ต้องขออนุญาตเจ้าพนักงานท้องถิ่น คือ กรุงเทพมหานครในการก่อสร้าง ดังนั้น การสอบสวนจึงจะดำเนินการใน 3 กลุ่ม คือ 1) ผู้ออกแบบ 2) ผู้ควบคุมงาน และ 3) ผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยหากผลการสอบสวนออกมาว่า ผู้ก่อสร้างได้ทำตามแบบและขั้นตอนทุกอย่าง ความผิดของผู้รับเหมาก็จะลดน้อยลงไป แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่า มีการทำที่นอกเหนือจากแบบ และมีการใช้วัสดุที่ไม่ตรงกับที่กำหนดไว้ จะต้องได้รับผลตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยและทางการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นธรรม”

ด้านนายหาน จื้อเฉียง กล่าวว่า ในนามรัฐบาลจีนขอแสดงความเสียใจและแสดงความไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิต โดยสาเหตุอาคารถล่ม ทางการจีนจะร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการสืบสวนหาสาเหตุอย่างเต็มที่ เพราะมีบริษัทของจีนร่วมในการก่อสร้างด้วย และขณะนี้ ทางการจีนได้สั่งให้บริษัทผู้ก่อสร้างให้ความร่วมมือกับประเทศไทยอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งให้ความเชื่อมั่นว่าการสอบสวนของทางการไทยเป็นไปอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว

หลังจากนั้น นายอนุทิน ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์กรณีเครนก่อสร้างถล่มจากอาคารสูงในย่านดินแดง และติดตามการช่วยเหลือกรณีอาคาร สตง. ถล่ม ระบุว่า ขณะนี้การดำเนินการผ่านไป 48 ชั่วโมงแล้ว ยังเชื่อว่ายังมีผู้รอดชีวิตเพราะตามทฤษฎีตราบใดที่ยังไม่เกิน 72 ชั่วโมงถือว่ายังมีผู้มีชีวิตอยู่ใต้ซากตึกที่ถล่ม โดยต้องทำทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ทำให้โครงสร้างด้านบนถล่มมากขึ้นจนอาจส่งผลกับผู้ที่ยังมีชีวิตและได้รับการสนับสนุนวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆ ประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาผู้รอดชีวิตอย่างเต็มกำลัง

ทั้งนี้ ในขณะนี้สถานการณ์ทั่วประเทศเข้าสู่ภาวะปกติ และเมื่อประเมินทุกไซต์งานที่ได้รับผลกระทบว่าปลอดภัยแล้ว ก็จะพิจารณาประกาศลดระดับสาธารณภัยจากระดับ 3 เป็นระดับ 2 เพื่ออำนาจการบริหารจัดการอยู่ที่ท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากเหตุอาคาร สตง. ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถล่ม เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหว โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการไปยังทีมสุดซอยพร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้เข้าไปเก็บหลักฐาน ที่จุดเกิดเหตุ ซึ่งหากพบว่าทางผู้ก่อสร้างมีการใช้เหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐานจะใช้ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการเอาผิดถึงที่สุด และขยายผลไปยังโรงงานผลิตเหล็กด้วย

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ตามแบบแปลนโครงสร้างตึกของ  สตง. ที่กำลังก่อสร้าง มีความสูง 30 ชั้น คาดว่าต้องใช้เหล็กเส้นข้ออ้อย (ที่เป็นเส้นกลมมีบั้ง) คาดว่าขนาด DB16 DB20 DB25 เป็นหลักในการเสริมแรงโครงสร้างคอนกรีต โดยเฉพาะในส่วนของเสา คานพื้น และฐานราก เพื่อรองรับน้ำหนักและแรงอัด แรงดึงและแรงเฉือน และหากมีการใช้เหล็กเส้นข้ออ้อยที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่เป็นไปตามหลักทางวิศวกรรม จะทำให้โครงสร้างเปราะและแตกหักง่าย เพราะส่วนประกอบของเหล็กที่มีสัดส่วนคาร์บอนหรือสัดส่วนโบรอน (ธาตุชุบแข็งเหล็ก) มากเกินไป จะทำให้เหล็กมีความแข็งแต่เปราะ เมื่อเกิดแผ่นดินไหวหรือแรงกระแทกที่รุนแรง จะทำให้เหล็กหักเป็นท่อนๆ แทนที่จะโค้งงอและดูดซับแรง ส่งผลให้โครงสร้างตึกถล่มลงมาได้

โดยการผลิต นำเข้า จำหน่ายเหล็กไม่ได้มาตรฐาน เป็นเหตุที่อาจทำให้ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเสียหาย ถือเป็นอาชญากรรมที่ปล่อยผ่านไม่ได้ ซึ่ง รมว.อุตสาหกรรม เอาจริงเอาจังในประเด็นนี้มาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดำเนินคดีกับผู้ผลิตและจำหน่ายที่เป็นบริษัทร่วมจดทะเบียนและบริษัทต่างชาติไปแล้วรวม 7 ราย ล่าสุด ได้สั่งปิดโรงงานผลิตเหล็กทุนข้ามชาติยักษ์ใหญ่ เพราะไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย และยังตรวจเจอสินค้าเหล็กเส้นข้ออ้อย SD 40 และ SD 50 ที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ตาม มอก. 24-2559 ทดสอบโดยสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยด้วย จึงมีการสั่งลงโทษตามกฎหมาย เพื่อตัดต้นตอความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและอันตรายต่อประชาชน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม (โอเปอเรเตอร์) เพื่อแก้ไขความผิดพลาดเรื่องระบบการแจ้งเตือนภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ในเรื่องของกระบวนการส่งข้อมูลการแจ้งเตือนสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย SMS ตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ ปภ. และ กสทช. ดำเนินการส่งข้อความ SMS แจ้งเตือนภัยถึงประชาชนให้เร็วขึ้น ทันเวลาและทั่วถึง ซึ่งเป็นไปตามข้อเรียกร้องจากประชาชน โดยสามารถสรุปขั้นตอนได้ ดังนี้

  • เมื่อ ปภ. ได้รับการแจ้งเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยา ปภ. โดยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จะวิเคราะห์

ข้อมูล พิจารณาแล้วแจ้งข้อความเตือน และ broadcast ไปให้ทาง กสทช. ในทันที

  • กสทช. แจ้งดำเนินการไปยัง โอเปอเรเตอร์ เพื่อส่ง SMS ไปยังประชาชนในพื้นที่ประสบภัย
  • ปภ. เตรียมแผนปฏิบัติการสื่อสาร/แผนสำรองในการแจ้งเตือนภัย ให้มีการแจ้งสถานการณ์เบื้องต้น

การปฏิบัติตนของประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ และแจ้งสรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อสถานการณ์ได้สิ้นสุดลง

นอกจากนี้ ทาง กสทช. และหน่วยที่เกี่ยวข้องจะวางแผนการเพิ่มผังรายการให้ประชาชนได้รับข่าวสารอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเร่งรัดการดำเนินการเรื่องระบบแจ้งเตือนภัย (cell broadcast ) ส่งข้อความ SMS แจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ครอบคลุมโทรศัพท์มือถือของประชาชนที่ประสบภัยธรรมชาติ เหตุฉุกเฉินในพื้นที่เป้าหมาย ประสานการทำงานกันอย่างใกล้ชิด พร้อมการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อกระจายเสียงให้ทันท่วงที

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ และสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาดและกิจการนักเรียน ได้ระดมสรรพกำลัง
เพื่อสนับสนุนการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น โดยการดำเนินการ มีดังนี้

1. สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ จัดเต็นท์ให้บริการสำหรับผู้ที่ยังเข้าคอนโดมิเนียม หอพัก หรือที่พักไม่ได้ เพื่อให้มีที่พักชั่วคราว จำนวน 75 หลัง โดยประสานงานจุดให้บริการกับกรุงเทพมหานคร

2. เปิดศูนย์พัฒนาบุคลากรทางการลูกเสือยุวกาชาดและกิจกรรมเยาวชน (ศลยก.) 2 แห่ง คือ ศูนย์พัฒนาบุคลากรทางการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจกรรมเยาวชน “กฐิน กุยยกานนท์” อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยมีอาคารเชลเตอร์ที่พัก จำนวน 8 หลังและตึกพัก สามารถรองรับที่พักได้ 100 คน ทั้งนี้ สามารถประสานงานได้ที่ โทร. 08 9183 9189 และ 09 3445 9351 ส่วนศูนย์กิจกรรมยุวกาชาด “ผิน แจ่มวิชาสอน” ซอยเพชรเกษม 102 บางแค กรุงเทพฯ สามารถรับรองที่พัก 50 คน ติดต่อได้ที่ 08 9526 5986 และ 08 0807 5906

3. เปิดค่ายลูกเสือกรุงเทพ (พิศลยบุตร) สังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ มีอาคารเชลเตอร์ที่พัก จำนวน 10 หลัง อาคารเต็นท์ถาวร จำนวน 15 หลัง สามารถรับรองที่พัก 100 คน ติดต่อได้ที่  06 5324 4141

ส่วน สพฐ. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและช่วยเหลือสถานศึกษาที่ประสบเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหว สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปี 2568 แล้ว พร้อมทั้งได้วาง 9 แนวทางการดำเนินงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา หากโรงเรียนหรือเขตพื้นที่การศึกษาใดต้องการความช่วยเหลือให้ติดต่อไปยังศูนย์ปฏิบัติฯ ได้ที่ 0 2288 5600

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปติดตามความเสียหายของอาคารทศมินทราธิราช โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นอาคารบริการมีผู้ป่วยนอกประมาณ 6,000 คน ต่อวัน ผู้ป่วยใน 450 เตียง วิศวกรตรวจสอบเบื้องต้นพบตัวอาคารมีรอยแตกตามผนัง และรอยแตกร้าวทางเชื่อมระหว่างอาคาร จึงแนะนำให้หยุดการบริการทั้งหมด
ไว้ก่อนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยอย่างละเอียดก่อนกลับมาให้บริการตามปกติ โดยผู้ป่วยที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน ยังสามารถเข้ามารับบริการได้ ส่วนโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขในส่วนภูมิภาค ได้กำชับให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารสถานที่อย่างละเอียดเช่นกัน เพื่อให้ผู้รับบริการและบุคลากรมีความมั่นใจและเกิดความปลอดภัยสูงสุด

นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีแผ่นดินไหวในประเทศไทย ครั้งที่ 3/2568 กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจ ผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ดูแลผู้ได้รับผลกระทบ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม A ผู้บาดเจ็บ/ผู้รอดชีวิตและครอบครัว กลุ่ม B ครอบครัวผู้เสียชีวิต/ผู้สูญหาย ผู้อยู่ในเหตุการณ์โดยรอบ หรือเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ และ กลุ่ม C ผู้รับรู้เหตุการณ์ผ่านสื่อสาธารณะ

  • ระยะวิกฤต 72 ชั่วโมงแรก เป็นการปฐมพยาบาลทางใจ ณ รพ.สนาม ค้นหา เข้าถึงครอบครัวผู้เสียชีวิต/ผู้สูญหาย และสื่อสารเพื่อลดความตระหนก
  • ระยะฉุกเฉิน 3-14 วัน จะติดตามปฐมพยาบาลทางใจผู้ได้รับผลกระทบ ณ ภูมิลำเนา ขยายพื้นที่เยียวยาจิตใจรอบจุดเกิดเหตุ รวมถึงสื่อสารเพื่อสร้างพลังใจ
  • เพิ่มบริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 จาก 20 คู่สาย เป็น 30 คู่สาย และเพิ่มบริการใหม่ “ศูนย์เยียวยาจิตใจ 1667” อีก 30 คู่สาย ให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

ในส่วนของภารกิจการชันสูตรและพิสูจน์อัตลักษณ์ผู้เสียชีวิต/ผู้สูญหาย จะมีสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจเป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก โดยศูนย์ปฏิบัติการฯ ได้สั่งการให้เตรียมความพร้อมแพทย์นิติเวชจากโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง อาทิ นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพื่อสนับสนุนทันทีที่ได้รับการร้องขอ

ที่ได้รับผลกระทบในเขตสุขภาพที่ 1-9 จากการเร่งสำรวจโดยบุคลากรสำหรับหน่วยบริการสาธารณสุขทางด้านวิศวกรรม พบเพิ่มขึ้นเป็น 418 แห่ง ใน 41 จังหวัด รวม 624 อาคาร ได้กำชับให้มีการตรวจสอบและมีรายงานความปลอดภัยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อยก่อนเปิดให้บริการประชาชน เพื่อให้มีความมั่นใจและเกิดความปลอดภัยสูงสุด รวมถึงโรงพยาบาลเลิดสิน ที่ได้รับความเสียหายในส่วนของทางเชื่อมต่ออาคาร จะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 31 มีนาคม 2568

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงฯ ให้เร่งสำรวจและประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอาคารสถานที่ราชการ แหล่งโบราณสถาน โบราณคดี และทรัพย์สินทางวัฒนธรรมทั่วประเทศ เพื่อจัดทำแผนบูรณะฟื้นฟูให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด โดยมอบหมายให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศเฝ้าระวัง สำรวจ และรายงานข้อมูลความเสียหาย เพื่อให้สามารถวางแผนบูรณะซ่อมแซมได้อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ ยังได้เตรียมแนวทางดูแลบุคลากรด้านศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้

สำหรับแหล่งโบราณสถานและโบราณคดี กรมศิลปากรได้รับมอบหมายให้เร่งสำรวจและจัดทำบัญชีรายชื่อสถานที่ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมระบุระดับความเสียหายและแนวทางฟื้นฟูให้เป็นระบบ โดยรายงานดังกล่าวจะถูกเสนอให้รัฐบาลพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการบูรณะในระยะเร่งด่วน เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างทั่วถึงและรวดเร็วที่สุด สามารถแจ้งข้อมูลความเสียหายของโบราณสถานในพื้นที่ได้ที่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม หรือสายด่วน วธ. 1765

นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT กรมประชาสัมพันธ์ เพื่อติดตามการดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารสถานการณ์แผ่นดินไหว กรมประชาสัมพันธ์ได้มีการจัดตั้ง Warroom เพื่อเกาะติดสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของรัฐบาล โดย NBT มีการปรับผังรายการเพื่อออกอากาศ 24 ชั่วโมง ภายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว และได้ติดตามการปฏิบัติงานของศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ที่ทาง NBT เปิด 8 คู่สายเพื่อบริการประชาชน ผ่านสายด่วน 1257 และได้จัดทำรายการพิเศษ นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคืบหน้าการทำงานของภาครัฐและการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ขณะเดียวกันได้จัดให้มีการถ่ายทอดสดการแถลงข่าวสรุปข้อมูลสถานการณ์แผ่นดินไหวประจำวันจากภาครัฐทุกวัน เวลา 19.00 น. จากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
แห่งประเทศไทย หรือ ทรท.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง