นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ศูนย์ Thailand Investment @ Expat Services Center ชั้น 7 อาคาร One Bangkok นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาในพิธีเปิด “ศูนย์บริการนักลงทุนและบุคลากรต่างชาติ” (Thailand Investment and Expat Services Center: TIESC) โดยมีผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน คณะเอกอัครราชทูต และผู้บริหารหอการค้าต่างประเทศ เข้าร่วม
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเสียใจต่อผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว พร้อมให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลควบคุมสถานการณ์ และตรวจสอบอาคารทั่วกรุงเทพมหานคร โดยยืนยันว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นเฉพาะกับอาคารที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพียงหลังเดียว และกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวน พร้อมยืนยันว่า ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับการลงทุนและการท่องเที่ยว
สำหรับพิธีเปิดศูนย์บริการ Thailand Investment and Expat Services Center (TIESC) ในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความชื่นชมอย่างจริงใจต่อทุกหน่วยงานที่ร่วมกันผลักดันให้วิสัยทัศน์นี้กลายเป็นความจริง ซึ่งศูนย์บริการฯ แห่งนี้ ไม่ใช่เพียงหน่วยงานราชการทั่วไป แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเปิดกว้าง อบอุ่น และความพร้อมของประเทศไทยในการต้อนรับมิตรจากทั่วทุกมุมโลก ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ซึ่งในปี 2567 เป็นปีทองแห่งการลงทุน มีโครงการลงทุนสูงถึง 3,100 โครงการ มูลค่า 1.1 ล้านล้านบาท นับเป็นปีที่มีการยื่นขอลงทุนสูงสุดในรอบทศวรรษ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างชัดเจน ความสำเร็จเหล่านี้ได้ทำให้ไทยให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ อาทิ เศรษฐกิจชีวภาพ ยานยนต์สมัยใหม่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เทคโนโลยีดิจิทัล และศูนย์ธุรกิจระหว่างประเทศ
โดยย้ำว่าทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของไทย ยังคงเป็นคน ด้วยอัธยาศัยไมตรี ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์อันยั่งยืน ถือเป็นหัวใจของซอฟต์พาวเวอร์ไทย โดยรัฐบาลมุ่งหวังที่จะดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต และเมื่อไทยต้อนรับนักลงทุนและคนเก่งจากทั่วโลก ซึ่งไม่เพียงแสวงหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสร้างมิตรภาพ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และความเข้าใจอันดีต่อกัน การลงทุนและความร่วมมือแต่ละครั้งจะช่วยเสริมสร้างชุมชนและสังคมที่มีชีวิตชีวา ครอบคลุมและกระจายความเจริญไปทั่วประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การบริการที่เป็นเลิศที่ความสะดวก โปร่งใสและรวดเร็ว ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะอำนวยความสะดวกเพื่อให้การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยราบรื่นและประสบความสำเร็จ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ต่างเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาล โดยศูนย์บริการฯ นี้ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตในไทย ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งจะให้บริการที่ราบรื่นด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่อทำให้ไทยเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการทำธุรกิจ ทำงาน และใช้ชีวิต
รัฐบาลให้ความสำคัญกับความสะดวกในการเข้าและพำนักในประเทศผ่านโครงการต่างๆ อาทิ
- วีซ่าพำนักระยะยาว สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูง (Highly Skilled Professionals)
- ชาวต่างชาติที่ทำงานในบริษัทต่างประเทศที่พำนักในไทย (Work-from-Thailand Professionals)
- ชาวต่างชาติที่มีทรัพย์สินสุทธิมูลค่าสูงและผู้เกษียณอายุที่ได้รับบำนาญ (Wealthy Global Citizens and Pensioners)
- สมาร์ทวีซ่าสำหรับสตาร์ทอัพ (SMART Visa) ตลอดจนอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานสำหรับผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรสำหรับโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
นายกรัฐมนตรีขอบคุณชาวต่างชาติที่อาศัยและทำงานในไทย ซึ่งการมีส่วนร่วมของทุกท่าน ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมอันหลากหลายของไทยด้วย ซึ่งรัฐบาลพร้อมรับข้อเสนอแนะและมุ่งมั่นที่จะทำให้ไทยเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรับทุกคน และกล่าวเน้นย้ำว่าเป็นก้าวสำคัญที่ TIESC ไม่เพียงเป็นศูนย์บริการฯ แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรม สร้างโอกาสแห่งการเติบโตและความเข้าใจร่วมกัน ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ไทยเป็นสถานที่ที่นวัตกรรมเฟื่องฟูและมิตรภาพเติบโตต่อไป
ทั้งนี้ TIESC เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกรมการจัดหางาน โดยนำบริการของทั้ง 3 หน่วยงานแบบครบวงจรมาไว้ ณ จุดเดียว ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมการให้บริการของศูนย์ประสานงานด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center: OSOS) และศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (One Stop Service For Visa And Work Permits)
ณ ชั้น 6-7 อาคาร One Bangkok โซน PARADE ถนนพระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โดยประกอบด้วย การให้บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงานที่สะดวกรวดเร็ว รวมถึงบริการให้คำแนะนำวีซ่าระยะยาวทุกประเภท (LTR Visa Service) นอกจากนี้ ยังให้คำปรึกษาด้านการลงทุนเพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนชาวต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนหรือทำงานในประเทศไทย
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของวีซ่าชนิดพิเศษ Long-Term Resident Visa หรือ LTR Visa ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะช่วยดึงดูดบุคลากรต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย สอดคล้องกับแนวโน้มการโยกย้ายฐานการลงทุนทั่วโลก เนื่องมาจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ โอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างมากขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานการทำงานและการพำนักระยะยาวของบุคลากรต่างชาติ ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญของกลุ่มนักลงทุนและบุคลากรคุณภาพสูงจากทั่วโลก เกิดเม็ดเงินในการใช้จ่ายของชาวต่างชาติกระจายไปยังภาคส่วนต่าง ๆ เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับไทยสู่ศูนย์กลาง Talent ระดับโลกด้วย
LTR Visa เป็นวีซ่าชนิดพิเศษที่รัฐบาลได้มอบหมายให้บีโอไอเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่มเข้าสู่ประเทศไทย ได้แก่
1) ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (Highly Skilled Professionals)
2) ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศ (Work-from-Thailand Professionals)
3) ผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizen)
4) ผู้เกษียณอายุ (Wealthy Pensioners) รวมทั้งผู้ติดตาม โดยจะสามารถพำนักในประเทศไทยได้ 10 ปี
ไม่จำกัดจำนวนครั้งที่เดินทางเข้าออกประเทศ อีกทั้งจะได้รับอนุญาตให้ทำงาน โดยลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ เหลือร้อยละ 17 และยังได้รับการผ่อนปรนระยะเวลาการรายงานตัวกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจากปกติทุก 90 วัน เป็นปีละ 1 ครั้งด้วย
การปรับปรุงหลักเกณฑ์ของ LTR Visa เป็นผลมาจากการหารือร่วมกับหอการค้าต่างประเทศ และผ่านความเห็นชอบจาก คณะกรรมการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1) ขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ให้ครอบคลุมอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้มาช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทย
2) ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานของกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ และผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศ เพื่อลดความซ้ำซ้อนกับคุณสมบัติอื่น ๆ ที่แสดงถึงความรู้ความสามารถและศักยภาพของชาวต่างชาติทั้งสองประเภทได้ดีอยู่แล้ว เช่น รายได้ขั้นต่ำ วุฒิการศึกษา การทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และความมั่นคงของนายจ้างในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดของมาตรการและสามารถเข้าถึงกลุ่ม Talent จำนวนมากขึ้น
3) ผ่อนคลายข้อกำหนดด้านรายได้ สำหรับบริษัทนายจ้างในต่างประเทศของผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทย จากเดิมกำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับเป็น 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และให้รวมถึงบริษัทลูกที่มีบริษัทแม่ ซึ่งมีรายได้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้สามารถเข้าถึงพนักงานทักษะสูงของทั้งบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่และบริษัทที่กำลังเติบโต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ประเทศไทยยังขาดแคลน
4) ยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้สำหรับกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง จากเดิมกำหนดรายได้ส่วนบุคคล 80,000 เหรียญสหรัฐต่อปี โดยจะมาให้ความสำคัญกับทรัพย์สินที่มั่นคงและการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย (ไม่น้อยกว่า 500,000 เหรียญสหรัฐ) ของชาวต่างชาติกลุ่มนี้ มากกว่าการพิจารณารายได้ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในประเทศ มากขึ้น
5) ขยายสิทธิสำหรับผู้ติดตาม จากเดิมกำหนดเพียงคู่สมรสและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ครอบคลุมถึงพ่อแม่และผู้อยู่ในอุปการะ โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ติดตาม เช่นเดียวกับวีซ่าอีกหลายประเภท เพื่อช่วยเพิ่มความน่าสนใจของมาตรการสำหรับ ชาวต่างชาติที่ประสงค์ให้ครอบครัวเข้ามาพำนักในประเทศไทยด้วยกัน และยังช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศของสมาชิกครอบครัวชาวต่างชาติอีกด้วย
ปัจจุบันบีโอไอได้อนุมัติ LTR Visa ให้กับบุคลากรต่างชาติศักยภาพสูงแล้วทั้งสิ้นกว่า 6,000 รายจากทั่วโลก โดยกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ยุโรป (2,500 คน) รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (1,080 คน) ญี่ปุ่น (610 คน) จีน (340 คน) และอินเดีย (280 คน) ตามลำดับ