ท่าทีของประเทศไทยต่อนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ท่าทีของประเทศไทย ต่อนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ระบุว่า รัฐบาลไทยตระหนักและเข้าใจถึงความจำเป็นของสหรัฐอเมริกา ที่จะต้องปรับสมดุลทางการค้ากับประเทศคู่ค้าจำนวนมาก ผ่านนโยบายอัตราภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Trade and Tariffs) ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐฯ ในขณะที่กรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์ของประธานาธิบดีทรัมป์ มีความเป็นพลวัต (dynamic) และแตกต่างไปจากยุคก่อนอย่างสิ้นเชิง

ล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศนโยบายในงาน Liberation Day เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เวลา 04.00 น. (เวลาไทย) ได้ประกาศขึ้นภาษีกับการนำเข้าจากทุกประเทศขั้นต่ำร้อยละ 10 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ และสหรัฐฯ มองว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ ตั้งแต่อัตราภาษีนำเข้า มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-tariff Barriers) รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จะถูกจัดเก็บ โดยแต่ละประเทศจะถูกปรับในอัตราที่แตกต่างกัน ในอัตราหารครึ่งจากอัตราที่สหรัฐฯ คำนวณว่าสินค้าของสหรัฐฯ ถูกจัดเก็บจากประเทศนั้นๆ สำหรับประเทศไทย สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทนไว้ที่ร้อยละ 36 โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

การประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าทุกรายอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่อาจไม่สามารถรับกับราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและในระดับสูงได้ ดังนั้น ในระยะยาวผู้ประกอบการส่งออกไทยควรมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว ซึ่งรัฐบาลไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ และได้วางมาตรการรองรับในการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบที่อาจมีต่อผู้ประกอบการส่งออกของไทยที่มีตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก

รัฐบาลขอเรียนว่า ไทยได้ส่งสัญญาณความพร้อมที่จะหารือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในโอกาสแรก เพื่อปรับดุลการค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย โดยส่งผลกระทบต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด โดยได้มอบหมายให้คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชนในการติดตามและประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ อย่างใกล้ชิดและรอบด้านตลอดระยะเวลา 3 เดือน เพื่อจัดเตรียม “ข้อเสนอเพื่อปรับดุลการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีสาระสำคัญเพียงพอให้สหรัฐฯ มีแรงจูงใจที่จะเข้าสู่กระบวนการเจรจากับไทย” ที่เหมาะสม และส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และผู้ประกอบการในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องน้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน ไทยยังอาจใช้โอกาสนี้ในการปรับโครงสร้างการผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวให้กับบางอุตสาหกรรมได้

ประเทศไทยมีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ที่จะสร้างเสถียรภาพและสมดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ ในระยะยาว มีศักยภาพเพียงพอต่อการเป็นหนึ่งในกลุ่มมิตรประเทศเพื่อการลงทุน (Friend Shoring) ที่ทั้งสองประเทศสามารถพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเอื้อซึ่งกันและกัน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดโลก อาทิ ในภาคเกษตร-อาหาร ที่สหรัฐฯ มีสินค้าเกษตรจำนวนมากที่ไทยสามารถนำเข้า เพื่อนำมาแปรรูปเพื่อส่งออกไปตลาดโลก และในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง การที่ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิต Hard Disk Drive ที่สำคัญของโลก และอุปกรณ์ดังกล่าวก็จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม Data Center และ AI ของสหรัฐฯ

สุดท้ายนี้ รัฐบาลไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ จะมองถึงเป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว ประเทศไทยยังคงยืนยันเจตนารมณ์ในการเป็นพันธมิตรและมุ่งมั่นผลักดันความร่วมมือในการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันสร้างและพัฒนาภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคตเพื่อตลาดโลกให้เติบโตอย่างมั่นคง เพื่อท้ายที่สุดจะช่วยกันลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจและภาคการเกษตรของทั้งสองประเทศ ผ่านการหารืออย่างสร้างสรรค์โดยเร็ว

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐฯ เคาะตัวเลขเก็บภาษีนำเข้าที่ไทยถูกตั้งภาษี 36% สูงเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน ว่า ต้องปรับโครงสร้างภาษีนำเข้ากับสหรัฐอเมริกาและตั้งคณะทำงานเรื่องการเจรจาต่อรองกับสหรัฐอเมริกาในส่วนของการปรับโครงสร้างภาษี เวลานำเข้าไม่ได้เป็นสินค้าที่มากมาย แต่พอเก็บภาษีแพงทำให้ไทยจัดเป็นอันดับต้นๆ 36% ซึ่งก็สูงพอสมควร ทั้งนี้จะได้เตรียมทั้งแผนระยะสั้น ระยะยาว โดยระยะสั้นต้องดูว่าสามารถคุยเจรจาต่อรองเพื่อช่วยผู้ประกอบการที่ส่งออกและจะเยียวยาหรือช่วยอะไรได้บ้าง ขณะนี้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ กำลังหาข้อสรุปให้เพราะตัวเลข 36% เพิ่งออกมา

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่ามาตรการต่างๆ ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทั้งมาตรการเบื้องต้นและสิ่งที่กำลังจะคุยกันต่อและที่จริงตัวเลขเฉลี่ยภาษีอยู่ที่ 9% แต่มีจำกัดว่าแต่ละประเภทสินค้าไม่ให้เกินเท่าไหร่ จึงนำตัวเลขนั้นมาเป็นค่าเฉลี่ย ซึ่งเป็นวิธีการคำนวณที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงต้องมาดูว่าสามารถบาลานซ์อะไรได้บ้าง ซึ่งได้มีการพูดคุยกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หลังมีตัวเลขออกมา แต่จริงๆ แล้วมีการพูดคุยกันมาสักพักแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการตั้งทีมเจรจา ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้

ส่วนผู้นำในการเจรจา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตอนนี้ยังอยู่ในการดูแลของปลัดกระทรวงพาณิชย์ และปลัดกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม ตัวแทนที่จะไปพูดคุยต้องดูด้วยว่าจะไปพูดคุยกับใคร ในระดับไหน เนื่องจากมีหลายขั้น ตั้งแต่ในระดับทำงานจะให้ปลัดไปพูดคุย รวมถึงรัฐมนตรี

ส่วนตัวเลขที่ออกมา ได้มีการประเมินถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไทยมากน้อยแค่ไหนหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีมาตรการที่จะดูแลผู้ประกอบการ แต่เรื่องของความเสียหายคิดว่ายังสามารถเจรจาได้อยู่ เพราะตัวเลข 36% ยังไม่ได้ Activate มีแค่ Activate บางหัวข้อ พอได้ตัวเลขมา ถ้ามีการต่อรองและปรับโครงสร้างภาษีให้สมเหตุสมผล เป็นเรื่องการต่อรองกัน ซึ่งจะต้องลงในรายละเอียด ส่วนเป้าหมายที่จะไปต่อรองจะให้ลดลงเท่าไหร่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะขอให้รายละเอียดอีกครั้ง

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงตัวเลข GDP ไม่ตรงตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ว่า ต้องไม่ปล่อยให้ไปจุดนั้น ที่จะทำให้ GDP พลาดเป้า และจากการพูดคุยกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังจะนำไปคุยกันในส่วนของกระทรวงฯ และจะชี้แจงรายละเอียดต่อประชาชนเร็วที่สุด ส่วนแผนหรือโครงการที่วางไว้ค่อนข้างที่จะแน่นพอสมควร แต่เป็นตัวเลขใหม่ขึ้นมาก็ต้องปรับ เพราะที่ผ่านมาได้มีการตรึงตัวเลขสินค้าทุกตัว โดยมีหัวหน้าคณะ คือ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ทำเรื่องการค้าขายกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งดูทุกสินค้าที่นำเข้าและส่งออก ดังนั้น เร็วๆ นี้น่าจะมีมาตรการออกมา

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นเป็น 36% ว่า สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากไทยเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดไว้ โดยแนวทางปฏิบัติหลังจากนี้ต้องเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ว่าจะทำอย่างไรให้ลดภาษีนำเข้าดังกล่าว รวมถึงต้องพยายามหาแนวทางเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งได้ดำเนินงานอย่างเต็มที่และติดต่อกับสหรัฐฯ มาโดยตลอด ขณะนี้ทางคณะทำงานฯ ได้เตรียมข้อมูลการเจรจากับสหรัฐไว้แล้ว

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า สิ่งที่ไทยเตรียมการไปเจรจากับสหรัฐฯ มี 3 มาตรการ คือ ปรับลดภาษีสินค้านำเข้าบางรายการ เพิ่มการ นำเข้าสินค้าบางรายการที่ยังไม่เคยนำเข้าจากสหรัฐฯ และลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า เช่น การตรวจสอบ สินค้าที่อาจอ้างแหล่งกำเนิดสินค้าจากไทย พร้อมยืนยันว่า ไทย พร้อมเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งไทยเคยทาบทามขอเป็นการเจรจาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบรับ หากสหรัฐฯ พร้อมเจรจาไทยก็พร้อมเดินทางไปเจรจาทันที สำหรับอุตสาหกรรมที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุด อาทิ สินค้าเกี่ยวกับโทรศัพท์ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และหม้อแปลงไฟฟ้า

ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การออกมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ โดยไทยถูกกำหนดภาษีในอัตราร้อยละ 36 โดยมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 9 เมษายน 2568 อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ

  • เครื่องโทรศัพท์ รวมถึงสมาร์ทโฟน และเครื่องโทรศัพท์อื่น ๆ (สัดส่วนร้อยละ 12.5 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม) โดยอัตราภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 2 ร้อยละ 46)
  • เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (สัดส่วนร้อยละ 11.1 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม) โดยอัตราภาษี
    ที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 4 ร้อยละ 46)
  • ยางรถยนต์ (สัดส่วนร้อยละ 6.4 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม) โดยอัตราภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 5 ร้อยละ 46)
  • เซมิคอนดักเตอร์ (สัดส่วนร้อยละ 4.5 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม) โดยอัตราภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศ คู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ร้อยละ 46)
  • หม้อแปลงไฟฟ้า (สัดส่วนร้อยละ 3.8 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม) โดยอัตราภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศ คู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 5 ร้อยละ 46)

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกับหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้บริหารภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย จัดการแถลงข่าวเพื่อสื่อสารและสร้างความเข้าใจแก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศต่อการกำหนดแนวทางเตรียมความพร้อมของไทยต่อนโยบายการค้าสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ผ่านการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในมิติต่าง ๆ โดยย้ำว่า รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และได้เตรียมการรับมืออย่างเป็นระบบ โดยนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้ง คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาขึ้นทันที เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสม โดยคณะทำงานฯ ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และมีประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี (นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์) และที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี (นายศุภวุฒิ สายเชื้อ) ทำหน้าที่ที่ปรึกษาคณะทำงานฯ ที่ผ่านมา คณะทำงานฯ ได้หารือกันอย่างใกล้ชิดพร้อมหารือกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายและหาแนวทางเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน ลดผลกระทบ
ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งวางแผนให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ผ่านมาตรการทางการเงิน อาทิ การให้เงินชดเชยดอกเบี้ยสำหรับเงินทุนหมุนเวียน

นายวุฒิไกร ระบุว่า จากการติดตามสถานการณ์พบว่า หลายประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ได้ยื่นข้อเสนอการเจรจารวมมูลค่ากว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ยังมิได้ให้การตอบรับและทุกประเทศทั่วโลกยังคงได้รับผล กระทบจากนโยบายภาษีดังกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้เข้ารัฐเป็นสำคัญ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศและการขาดดุลการค้าที่มีสูงมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปี โดยยืนยันว่า “คณะทำงานฯ มีความพร้อมในการหารือกับสหรัฐฯ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับทั้งสองประเทศ โดยมุ่งเน้นแนวทางที่สมดุลและเป็นธรรม เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเกษตรกรไทย ตลอดจนรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น โดยคณะทำงานฯ ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนและภาคธุรกิจว่า รัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อลดผล กระทบจากการเก็บภาษีเพิ่มของสหรัฐฯ บนพื้นฐานการรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และปกป้องรักษาผลประโยชน์ของไทยอย่างดีที่สุด”

นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่องการศึกษามาตรการทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีการประกาศนโยบายทางการค้า เช่น กำแพงภาษี ที่อาจจะเป็นผลเสียต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทย รัฐบาลได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 เพื่อดำเนินการศึกษาวางแผนและรับมือนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยกับสหรัฐฯ ในภาพรวม มีปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะทำงาน รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมเป็นคณะทำงาน

  • (13 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีร่วมหารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ถึงผลกระทบของประเทศไทยในนโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีและหน่วยงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญและตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างมาก เตรียมพร้อมที่จะรับมือรวมถึงได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแผนการดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์และทันกับบริบทต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลง เชื่อมั่นว่าด้วยความรู้ความสามารถของภาคเอกชนสามารถที่จะช่วยรัฐบาลได้อย่างมากและรัฐบาลพร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนในด้านต่างๆ รวมถึงการหาแนวทางรับมือผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง