นายกฯ ชู วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 นำสมาชิก BIMSTEC สู่อนาคตที่รุ่งเรือง

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 6 (ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างประเทศครั้งแรกแบบตัวต่อตัว ในรอบ 7 ปี  โดยการประชุมครั้งนี้ มีผู้นำทั้ง 7 ประเทศ รวมทั้งไทยเข้าร่วมประชุม ได้แก่ 1.ศาสตราจารย์มูฮัมหมัด ยูนุส (His Excellency Professor Muhammad Yunus) ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ (Chief Adviser of the Government of the People’s Republic of Bangladesh) 2.นาย ดาโช เชริง โตบเกย์ (His Excellency Dasho Tshering Tobgay) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน (Prime Minister of the Kingdom of Bhutan) 3.นายนเรนทร โมที (His Excellency Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย (Prime Minister of the Republic of India) 4.พลเอกอาวุโส มิน ออง ไลง์ (His Excellency Senior General Min Aung Hlaing) ประธานสภาบริหารแห่งรัฐ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (Chairman of the State Administration Council, Prime Minister of the Republic of the Union of Myanmar) 5.นายเค พี ศรรมะ โอลี (Rt. Hon. Mr. K P Sharma Oli) นายกรัฐมนตรีแห่งเนปาล (Prime Minister of Nepal) 6.ดร. หริณี อมรสุริยะ (Her Excellency Dr. Harini Amarasuriya) นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา (Prime Minister of the Democratic Socialist Republic of Sri Lanka) และ7.นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (Her Excellency Miss Paetongtarn Shinawatra) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย (Prime Minister of the Kingdom of Thailand)

ก่อนการประชุม นายกรัฐมนตรีได้พบหารือทวิภาคีกับ พลเอกอาวุโส มิน ออง ไลง์ นายกรัฐมนตรีเมียนมา โดยนายกรัฐมนตรีเมียนมาได้กล่าวแสดงความซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานสิ่งของแก่ประชาชนเมียนมา ซึ่งได้จัดส่งถึงเมียนมาแล้วเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา

ในโอกาสนี้ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้หารือครอบคลุมทั้งความร่วมมือด้านการป้องกันพิบัติภัย ทั้งภัยธรรมชาติ และภัยจากมนุษย์ รวมทั้งอาชญากรรมข้ามพรมแดน ยาเสพติด และการลักลอบการค้าที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และขบวนการ online scam รวมทั้งประสานเหยื่อผู้ถูกหลอกลวง กลับประเทศ ซึ่งมาตรการที่เด็ดขาดของประเทศไทยทำให้การส่งข้อความและการโทรศัพท์หลอกลวง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้สั่งการหน่วยความมั่นคงให้มีการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมภัยไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองฝ่าย ยังให้ความสำคัญต่อการดำเนินการในการเดินหน้าตาม “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส”(Clear Sky Strategy) เพื่อยกระดับการป้องกันและแก้ไขไฟป่า ฝุ่นละออง และหมอกควัน โดยมีสมาชิก 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเมียนมา โดยที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างมาก จุดความร้อนและปัญหาฝุ่นควันลดน้อยลง นอกจากนี้ ไทยและเมียนมา ยังได้ร่วมกันเตรียมการป้องกันปัญหาน้ำท่วมด้วยการเร่งขุดลอก รื้อถอน สิ่งกีดขวางทางน้ำในแหล่งน้ำ และแม่น้ำระหว่างสองประเทศเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ ก่อนฤดูฝนในปีนี้

ทั้งนี้ ประเทศไทยและเมียนมา จะร่วมกันแบ่งปันองค์ความรู้ทางการเกษตรและปศุสัตว์ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ เกษตรสมัยใหม่ เช่น ข้าวโพด ให้มีผลผลิตมากขึ้น ทำลายธรรมชาติน้อยลง และลดการเผาพืช รวมทั้งการส่งเสริมการเลี้ยงปศุสัตว์ ไก่ โค สุกร ซึ่งจะสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับเกษตรกรเพิ่มมากขึ้นด้วย

โดยความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล สำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ หรือ BIMSTEC ครั้งนี้ เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ และเป็นการริเริ่มและผลักดันของไทย
ตามนโยบายมองตะวันตก (Look West Policy)

ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันกรอบความร่วมมือ BIMSTEC และเคยเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นํา BIMSTEC ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ที่กรุงเทพมหานคร และไทยรับตำแหน่งประธานBIMSTECต่อจากศรีลังกา ตั้งแต่ วันที่ 30 มีนาคม 2565 ปัจจุบันไทยดำรงตำแหน่งประธาน BIMSTEC ระหว่างปี 2565 – 2568  โดย BIMSTEC มีความร่วมมือ 7 สาขา ประกอบด้วย 1. การค้า การลงทุน และการพัฒนา 2. สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3. ความมั่นคง 4. การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร 5. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน 6. วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และ 7. ความเชื่อมโยง ซึ่งการประชุมครั้งนี้ผู้นำทุกประเทศสมาชิกได้เข้าร่วมประชุมด้วยตนเอง สะท้อนถึงการยึดมั่นในพันธสัญญาที่ทุกประเทศร่วมกันในฐานะสมาชิก ที่มีประชากรทั้งหมดราว 1,800 ล้านคน เป็นพลังและความจำเป็นที่ทุกประเทศจะต้องมีความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ครั้งที่ 6 พร้อมผู้นำและผู้แทนสมาชิก BIMSTEC จากอินเดีย เนปาล ภูฏาน ศรีลังกา เมียนมา บังกลาเทศ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-4 เมษายน 2568 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงเปิดการประชุมฯ ว่า

นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย พร้อมขอให้ผู้เข้าร่วมประชุมยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับผู้นำและผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกสู่การประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 6 โดยเป็นความภาคภูมิใจของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม หลังจากที่ไม่ได้จัดการประชุมแบบพบหน้ากันมาเป็นเวลากว่า 7 ปี ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ และหารือแนวทางในการเสริมสร้างความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ในกลุ่มสมาชิก BIMSTEC

ทั้งนี้ BIMSTEC เป็นกลุ่มประเทศที่มี GDP รวมกันประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ความร่วมมือนี้ถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนในอนาคต

ประเด็นสำคัญที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอในที่ประชุมคือ “วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030” ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือ ที่จะนำประเทศสมาชิก BIMSTEC ไปสู่อนาคตที่มีความเจริญรุ่งเรือง ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง วิสัยทัศน์นี้ถูกออกแบบเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ส่งเสริมความเชื่อมโยง และการเสริมสร้างศักยภาพในการรับมือกับปัญหาระดับโลก

ด้านความเจริญรุ่งเรืองของ BIMSTEC นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของ BIMSTEC ด้วยจำนวนประชากร รวมกันเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรโลก การค้าภายใน BIMSTEC อยู่ที่ประมาณ 6% จึงเสนอให้สมาชิกเร่งผลักดันการจัดทำ BIMSTEC FTA ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ การค้า

นอกจากนี้ การลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล จะเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าทางทะเลที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะที่โครงการ Landbridge ของไทยจะช่วยเสริมการเชื่อมโยงระหว่างอ่าวไทยกับอ่าวเบงกอลด้วย

ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมุ่งมั่นร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างทางหลวงสำคัญระหว่างประเทศที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยไปยังเมียนมาจนถึงอินเดียให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดได้ส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของโครงการนี้ นอกจากนี้ สันติภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย และเสถียรภาพ ตามเส้นทางดังกล่าวยังมีความสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการ ซึ่งไทยพร้อมทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกเพื่อเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้

นอกจากนี้ BIMSTEC จำเป็นต้องเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและความสามารถทางเทคโนโลยี โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI และการเชื่อมต่อทางดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาเร่งด่วน และเตรียมความพร้อมของภูมิภาคในการรับมือกับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคตด้านความยืดหยุ่น ความท้าทายระดับโลก เช่น มลพิษทางอากาศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโรคระบาด ทำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบสาธารณสุขและห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ ไทยได้เสนอจัดตั้ง “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเวชศาสตร์เขตร้อน” ของ BIMSTEC

นอกจากนี้ เหตุการณ์แผ่นดินไหวได้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อจัดการภัยพิบัติในกลุ่ม BIMSTEC ซึ่งไทยสนับสนุนข้อเสนอของอินเดียในการจัดตั้ง “ศูนย์จัดการภัยพิบัติ BIMSTEC” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองต่อภัยธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบเตือนภัย พร้อมสนับสนุนการจัดการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านความร่วมมือการจัดการภัยพิบัติของ BIMSTEC ครั้งที่ 2 เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยธรรมชาติ

โอกาสนี้ ไทยยังเน้นย้ำถึงการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติดและอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยขอความร่วมมือจากประเทศสมาชิกในการดำเนินการตามอนุสัญญา BIMSTEC ว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และการค้ายาเสพติด เพื่อยกระดับความมั่นคงในภูมิภาคและความยืดหยุ่นพร้อมต่อการตอบสนองต่อภัยพิบัติ

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ทั้งในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาค SMEs จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตของ BIMSTEC โดยประเทศไทยได้เสนอจัดตั้งสภาที่ปรึกษาธุรกิจ BIMSTEC (BIMSTEC Business Advisory Council) เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างภาคธุรกิจ สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ และเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของภูมิภาคในระยะยาว พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม รวมถึงชุมชนที่ถูกมองข้าม ผู้หญิง และเยาวชน โดยยกตัวอย่างการจัดงาน “BIMSTEC Young Gen Forum” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ ICONSIAM กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวทีสำหรับผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนใน BIMSTEC โดยการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในภูมิภาค การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงสถานที่สำคัญระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจร่วมกัน และเน้นย้ำถึงบทบาทของ BIMSTEC ในการ ส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน โดยประเทศไทยในฐานะประธานปัจจุบันของกรอบ Asia Cooperation Dialogue (ACD) มุ่งมั่นที่จะสร้างความร่วมมือระหว่าง BIMSTEC กับเวทีระหว่างประเทศอื่นๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาค

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 6 (The 6th BIMSTEC Summit) โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำหน้าที่ประธานการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 6 ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ไทยเป็นประธานฯ คือการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 1 ในปี 2547 ถือเป็นการนำ BIMSTEC กลับมาสู่บ้านและเป็นโอกาสต่อยอดจากรากฐานที่วางไว้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยแนวคิดหลักของไทยในฐานะประธานฯ มุ่งให้ “BIMSTEC มีความมั่งคั่ง ยั่งยืน ฟื้นคืน และเปิดกว้าง” (Prosperous, Resilient and Open BIMSTEC) หรือ “PRO BIMSTEC” โดย BIMSTEC จะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือและการดำเนินการร่วมกันในระดับภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการเตรียมความพร้อม การบรรเทาและฟื้นฟูประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดตั้งกลไกให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นโดยใช้ประสบการณ์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด

นายกรัฐมนตรีประกาศว่า ผู้นำ BIMSTEC ได้รับรองเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุมฯ 6 ฉบับ ได้แก่

1. วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ฉบับแรกของ BIMSTEC ที่กำหนดแผนยุทธศาสตร์เพื่อสร้าง “PRO BIMSTEC” ให้สำเร็จภายในปี 2573 ซึ่งจะช่วยให้ BIMSTEC สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับองค์กรระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศอื่นๆ ได้อย่างแข็งขันยิ่งขึ้น โดยเน้นการเสริมสร้างการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยง และความมั่นคงของมนุษย์

2. ปฏิญญาการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 6 เน้นย้ำเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกในการขับเคลื่อนBIMSTEC เพื่อการบรรลุวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 

3. กฎระเบียบสำหรับกลไกการดำเนินงานภายใต้กรอบ BIMSTEC ซึ่งทำให้ BIMSTEC เป็นกรอบความร่วมมือที่มีกฎระเบียบอ้างอิงมากขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการดำเนินงานของBIMSTEC

4. รายงานของคณะผู้ทรงคุณวุฒิว่าด้วยการกำหนดทิศทางของ BIMSTECในอนาคต ซึ่งนำเสนอข้อเสนอแนะสำคัญที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030

5. การลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางทะเลระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ ลดต้นทุนการค้า และอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและประชาชน

6. แถลงการณ์ร่วมของผู้นำ BIMSTEC ว่าด้วยผลกระทบจากแผ่นดินไหวในเมียนมา ซึ่งแสดงถึงความเสียใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนสะท้อนถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นในการบริหารจัดการภัยพิบัติและการเสริมสร้างกลไกตอบสนองต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ

ผลลัพธ์จากการประชุมในครั้งนี้นำมาซึ่งผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมต่อประชาชนไทย โดยช่วยเพิ่มขีดความ สามารถทางการแข่งขันในการส่งออก สร้างโอกาสทางการตลาดและการลงทุน รวมถึงสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนผ่านความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของไทยและการจ้างงาน โดยผลลัพธ์เหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปสู่โอกาสทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนไทย

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับประเทศสมาชิก BIMSTEC สำหรับความสำเร็จของการประชุมผู้นำฯ ในครั้งนี้ โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ภายใต้การนำของบังกลาเทศ ที่จะเป็นประธาน BIMSTEC ลำดับถัดไป จะนำพา BIMSTEC ไปสู่ความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง