“ภูมิธรรม” ลุย หนองคาย บึงกาฬ อุดรฯ ติดตาม “SEAL STOP SAFE” และหลายโครงการเพิ่มคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ ที่ว่าการอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เพื่อหารือข้อราชการกับส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ พร้อมรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงติดตามความคืบหน้าของโครงการพัฒนาต่างๆ ที่รัฐบาลได้ให้การสนับสนุน โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก การเกษตร และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดหนองคาย

นายภูมิธรรม ยังได้รับฟังการดำเนินงานตามนโยบาย Seal Stop Safe ของจังหวัดหนองคาย ที่ศาลากลางจังหวัดหนองคาย ซึ่งนโยบาย Seal Stop Safe เป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ นอกจากนี้ยังหารือถึงสถานการณ์การเตรียมความพร้อมรับมือภัยแล้งและภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อการพัฒนาจังหวัดหนองคาย

นายภูมิธรรม กล่าวชื่นชมการทำงานของทุกภาคส่วน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานแบบบูรณาการ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดหนองคายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การลงพื้นที่ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดหนองคายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง

จากนั้นนายภูมิธรรม ยังได้ตรวจความคืบหน้าโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมห้วยปลาแดก ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 10,053,000 บาท เพื่อแก้ไขปัญหาการกัดเซาะตลิ่งริมห้วยปลาแดก ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรมและบ้านเรือนของประชาชนในบริเวณใกล้เคียง การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งจะช่วยป้องกันการพังทลายของดิน และรักษาความมั่นคงของชุมชนในระยะยาว

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามปัญหาและการปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ที่ จ.บึงกาฬ และติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่เขตตรวจราชการเขตที่ 10 ที่ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ พร้อมร่วมประชุมส่วนราชการ หารือสภาพปัญหาและการปราบปรามยาเสพติด รายงานผล Seal Stop Safe และการเตรียมความพร้อมภัยแล้ง-ภัยพิบัติ

จังหวัดบึงกาฬ มีอำเภอชายแดน 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองบึงกาฬ อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด และอำเภอบุ่งคล้า เป็นพื้นที่ลักลอบนำเข้ายาเสพติดตามลำน้ำโขง ได้แก่ ยาบ้า ไอซ์ และเคตามีน ส่วนการดำเนินงานบำบัดฟื้นฟู ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดในระบบสมัครใจในโรงพยาบาล มีเป้าหมาย 1,883 คน และทางจังหวัดได้ขับเคลื่อนตามแผนปฏิบัติการสกัดกั้นและปรามปราบยาเสพติด Seal Stop Safe ผนึกกำลังอำเภอชายแดนจังหวัดบึงกาฬ อย่างเข้มข้น

นายภูมิธรรม กล่าวว่า จ.บึงกาฬได้ชื่อว่าเป็นที่พื้นที่ที่มีทางเข้าออกของยาเสพติดจำนวนมาก แต่มีจุดแข็งในการแก้ปัญหายาเสพติด โดดเด่นเรื่องการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูบำบัดผู้เสพยาเสพติด ควบคู่ไปกับการปราบปราม ตามนโยบายการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ตามแนวชายแดนธรรมชาติลำน้ำโขง โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วน และนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการแก้ไขปัญหายาเสพติด  คาดว่าจังหวัดบึงกาฬจะเป็นตัวอย่างที่ดีด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติดต่อไป

นายภูมิธรรม ยังได้ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก บ้านโพนทอง หมู่ที่ 3 ต.หนองพันทา อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ พร้อมรับปากว่าจะผลักดันงบประมาณการก่อสร้างถนนเพิ่มเติมให้อีก 1.5 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาการเดินทางและขนส่งผลผลิตทางการเกษตรของประชาชนใน 3 หมู่บ้าน ของตำบลหนองพันทา อำเภอโซ่พิสัย จ.บึงกาฬ

จากนั้น นายภูมิธรรม ได้ตรวจเยี่ยมค่ายบำบัดรักษาฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด นาคาล้อมรักษ์โมเดล ค่ายคืนคนดี สู่สังคม ณ กองร้อยอาสารักษาดินแดนที่ 5 อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ ซึ่งในปี 2567 รัฐบาลมีนโยบายให้แก้ไขปัญหายาเสพติด ในพื้นที่สีแดง อำเภอโซ่พิสัยจึงได้บูรณาการทุกภาคส่วนในการป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาฟื้นฟู โดยจากการสำรวจพบผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติดจากกลุ่มสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว รวม 719 คน เฉพาะสีแดง 340 คน แต่เนื่องจากโรงพยาบาลโซ่พิสัยเป็น โรงพยาบาลชุมชน มีข้อจำกัดในการใช้พื้นที่สำหรับดูแลรักษากลุ่มจิตเวช และข้อจำกัดด้านการส่งต่อไปยังจิตแพทย์ จึงจัดสถานที่เข้ารับการรักษาผู้ป่วยจิตเวชกลุ่มสีแดง โดยใช้พื้นที่กองร้อยอาสารักษาดินแดนที่ 5 อำเภอโซ่พิสัย ในการดูแลบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด นาคาล้อมรักษ์โมเดล โดยเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นมา รับเฉพาะเพศชาย ผลการดำเนินงานมียอดผู้ป่วยเข้าบำบัดทั้งสิ้น 847 ราย และเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 ได้ขยายบริการในผู้ป่วยจิตเวชจากผู้ป่วยยาเสพติดสีแดงเพศหญิง หรือ นาคีล้อมรักษ์ ซึ่งเป็นแห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย

นายภูมิธรรม ยังได้เดินทางไปที่หอประชุมโรงเรียนพรเจริญวิทยา อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ ตรวจเยี่ยมและพบปะส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารและสมาชิสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนชาวอำเภอพรเจริญ และรับทราบการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งอำเภอพรเจริญมี 7 ตำบล 58 หมู่บ้าน ประชากรประมาณ 44,000 คน มีปัญหายาเสพติดแพร่กระจายในหมู่วัยรุ่นและวัยแรงงาน ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอพรเจริญ ได้ดำเนินการแก้ปัญหาโดยความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ยกเลิกการมีสายข่าวยาเสพติด ที่อาจทำให้ประชาชนไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่ และกำหนดให้เป็นหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องรายงานข้อมูลผู้เสพ ผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ให้อำเภอทราบ นำไปสู่การปราบปรามและการบำบัดรักษา ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอพรเจริญได้ปรับปรุงอาคารกองร้อย อส.หลังเก่า ใช้เป็นค่ายคืนคนดีสู่สังคม ดำเนินการไปแล้ว 2 รุ่นๆ ละ 40 คน ระยะเวลารุ่นละ 120 วัน และยังได้ปรับปรุงอาคารเก่าโรงพยาบาลพรเจริญใช้เป็นศูนย์พักคอย “นาคาล้อมรักษ์” สำหรับรักษาผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติดกลุ่มสีแดง ซึ่งเมื่อรักษาที่นาคาล้อมรักษ์ประมาณ 7-14 วัน ได้รับการถอนพิษยาแล้ว จะนำส่งไปยังศูนย์บำบัดรักษาต่าง ๆ ต่อไป ทำให้ในพื้นที่ไม่มีเหตุรุนแรงจากผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติด

ส่วนการป้องกัน ในปีงบประมาณ 2568 ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ออกตรวจตราร้านคาราโอเกะ และแหล่งมั่วสุมต่างๆ เป็นประจำ และจับกุมผู้เสพ ผู้ค้า 73 คดี ผู้ต้องหา 76 คน ของกลางยาบ้า 224,334 เม็ด ไอซ์ 102.98 กรัม มีการบำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติด 87 ราย หลังจากผ่านกระบวนการถอนพิษยาที่ศูนย์นาคาล้อมรักษ์ รพ.พรเจริญ ก็ได้ส่งต่อไปยังค่ายคืนคนดีสู่สังคม รพ.จิตเวชนครพนม รพ.ธัญญารักษ์ มินิธัญญารักษ์ และ รพ.ใกล้เคียงตามการประเมินอาการของแพทย์ สำหรับค่ายคืนคนดีสู่สังคม 41 ราย ได้รับการฝึกอบรมด้านอาชีพต่างๆ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพลเอก ธราพงษ์ มะละคำ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมการตรวจเลือกทหารกองเกิน เข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2568 จังหวัดอุดรธานี คณะที่ 1 ณ อุดรธานีฮอลล์ ชั้น 4 เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี ทั้งนี้ นายภูมิธรรม ได้ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของคณะตรวจเลือกฯ ในทุกๆ ขั้นตอน และได้เน้นย้ำให้คณะตรวจเลือกฯ ดำเนินการด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม สามารถตรวจสอบได้ และได้พูดคุยให้กำลังใจกับผู้ที่มาเข้ารับการตรวจเลือกฯ อย่างเป็นกันเอง พร้อมทั้งได้มอบใบ สด.43 ให้กับทหารกองเกิน ที่ร้องขอเข้ารับราชการทหาร

นายภูมิธรรม กล่าวว่า หลายส่วนพยายามผลักดันการเกณฑ์ทหารโดยสมัครใจและเรากำลังเข้าสู่กระบวนการนี้ แต่ขอให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ทันทีเพราะกองทัพต้องเตรียมพร้อมกำลังพลรองรับกรณีเกิดเหตุจำเป็น ซึ่งกองทัพได้เริ่มต้นเปิดรับ ผู้สมัครใจเข้ามาเป็นทหารมาหลายปีแล้วและมีผู้สมัครใจสมัครเป็นทหารเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนี้การจะผลักดันให้มีผู้สมัครใจเข้าเป็นทหารจะต้องทำให้รู้ถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ทั้งการได้ทำหน้าที่คนไทยดูแลประเทศไทย การฝึกขั้นต้นที่จะทำให้มีสิทธิเข้าเรียนต่อ และกองทัพพยายามปรับการเรียนการสอนโดยประสานกับสถาบันการศึกษาให้ฝึกอบรมวิชาการใหม่ๆ รองรับโลกที่เปลี่ยนแปลง ถ้ามีการพัฒนาอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เชื่อว่าการสมัครเข้าเป็นทหาร จะเป็นการเปิดโอกาสและเป็นอีกทางเลือกให้แก่ผู้ที่ไม่มีโอกาสในชีวิต

ตั้งแต่วันที่ 1-5 เมษายน 2568 ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี มียอดทหารกองเกินเข้ารับการตรวจเลือกฯ ไปแล้ว จำนวน 3,728 นาย มียอดเรียกเกณฑ์ 946 นาย โดยในจำนวนนี้ มีผู้สมัครใจร้องขอฯ เข้ารับราชการทหาร จำนวน 308 นาย คิดเป็น 32.56 % เพิ่มขึ้นจากปี 2567 สอดคล้องกับนโยบายที่สำคัญของ กระทรวงกลาโหม คือ การเปลี่ยนผ่านการตรวจเลือกทหารกองประจำการ (พลทหาร) ไปสู่ การสมัครใจ

จากนั้น นายภูมิธรรม ตรวจเยี่ยมและติดตามความคืบหน้าการปฏิบัติงานของหน่วยกำลังป้องกันชายแดน และงานตามนโยบายของรัฐบาล ในพื้นที่รับผิดชอบของ กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ 5 จังหวัด ประกอบด้วย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร ณ กองบัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา ตำบลโนนสูง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ทั้งนี้ นายภูมิธรรม ได้รับฟังการบรรยายสรุปภารกิจและผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาของหน่วย รับทราบข้อมูล สถานการณ์ด้านการข่าว และการปฏิบัติตามพันธกิจ
5 ประการ ของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ตามภัยคุกคามรูปแบบดั้งเดิม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ

ทั้งนี้ กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ตามนโยบาย Seal Stop Safe ของรัฐบาล โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ครอบคลุมทั้ง 5 จังหวัดชายแดน รวม 23 อำเภอชายแดน ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย
ซึ่งหน่วยจัดกำลังในบทบาทของส่วนสกัดกั้นตอนบน โดยวางแผน อำนวยการ ประสานงาน และผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน เข้ายับยั้ง และสกัดกั้นไม่ให้มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์เข้ามาในพื้นที่ รวมทั้งปราบปรามทำลายโครงสร้างเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติดและวงจรทางการเงิน ของกลุ่มนักค้ายาเสพ จากการปฏิบัติการนำไปสู่การจับกุมการกระทำผิด ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ จนถึงปัจจุบัน ( 1 ก.พ. – 6 เม.ย. 68) จำนวน 208 ครั้ง ผู้ต้องหา 247 ราย ของกลาง ยาบ้า 19,483,905 เม็ด และ ไอซ์ 1,661.136 กิโลกรัม ส่วนสถิติการจับกุม ในพื้นที่ชายแดน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 จนถึงปัจจุบันมี จำนวน 551 ครั้ง ผู้กระทำผิด 649 ราย ของกลางยาบ้า 68,463,975 เม็ด และไอซ์ 3,082.82 กิโลกรัม

นายภูมิธรรม มอบแนวทางการปฏิบัติ ในการป้องกันและสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดนโดยขอให้มุ่งเน้นรวบรวมข้อมูลข่าวสาร เพิ่มความถี่ และวงรอบการลาดตระเวนเฝ้าตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เน้นย้ำให้เข้มงวดในการปฏิบัติ ณ จุดตรวจตามเส้นทางที่ล่อแหลมต่อการลักลอบ นำเข้า – ส่งออก บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติด ทั้งในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ตอนใน ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงภัยจากยาเสพติด ปลูกฝังอบรมให้เยาวชนรู้ถึงพิษภัย ตระหนักรู้ผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อให้ห่างไกลจากยาเสพติด สร้างเครือข่ายกับประชาชนในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง และแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนตามแนวชายแดน พร้อมย้ำต้องการผลงานที่เป็นรูปธรรมในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนการกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น กำชับไม่ให้กำลังพลเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หรือรับสินบนอันจะนำความเสื่อมเสียมาสู่กองทัพโดยเด็ดขาด และดูแลสิทธิสวัสดิการต่างๆ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับกำลังพล อีกทั้งการช่วยเหลือประชาชน ให้ใช้ทรัพยากรของหน่วยเข้าช่วยเหลือ อย่างเต็มขีดความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นภัยหนาว ภัยแล้ง น้ำท่วม อัคคีภัย หรืออื่นๆ ให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ในการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแก่ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงช่วยกันพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป

จากนั้นนายภูมิธรรม ได้ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มประสิทธิภาพและการเก็บกักน้ำหนองหน้าคู สนับสนุนสถานี สูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านกกสะทอน ตำบลบ้านตาด อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านกกสะทอนพร้อมระบบส่งน้ำ สามารถสูบน้ำได้ 2 ระบบคือ โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์) และใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรได้ 530 ไร่ และสามารถขยายพื้นที่การส่งน้ำต่อไปอีกในอนาคตได้อีก 1,680 ไร่ รับประโยชน์ 1 หมู่บ้าน 270 ครัวเรือน การก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านกกสะทอนแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นพื้นที่ไม่มากนัก แต่ก็เป็นแนวทางที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำน้ำไปใช้จากหนองหน้าคูเป็นการใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายภูมิธรรม กล่าวว่า สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าแห่งนี้ เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ใช่แค่ชาวบ้านกกสะทอน เท่านั้น แต่ประชาชนในหลายจังหวัดได้เดินทางมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์หลวงตามหาบัวฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งโครงการนี้ก็มีส่วนสนับสนุนน้ำไปยังพื้นที่ดังกล่าวเพื่อกิจกรรมต่างๆ ด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง