นายกฯ แถลงผล 2 เดือน  Seal Stop Safe เผายาเสพติดกว่า 27 ตัน หยุดยั้งการแพร่ระบาด

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีแถลงผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน ในห้วง 2 เดือนแรก (1 ก.พ. – 31 มี.ค. 68) และการเผาทำลายยาเสพติดของกลางของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ประจำปี 2568 (ครั้งที่ 2) โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตํารวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ที่บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ

นายกรัฐมนตรี รับชมวีดิทัศน์ สรุปผลการดำเนินงานปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน” พร้อมกล่าวว่า ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลมาจากความร่วมมืออย่าง บูรณาการของทุกภาคส่วน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยภาคส่วนหรือหน่วยงานใดเพียงลำพัง ทั้งนี้ ก่อนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่างการลงพื้นที่หาเสียงในหลายพื้นที่ พบว่า หนึ่งในปัญหาหลักที่ประชาชนพูดถึงและต้องการให้รัฐบาลแก้ไขอย่างจริงจังคือ “ปัญหายาเสพติด” ซึ่งเป็นปัญหาหนักหนาสาหัสในทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตามรัฐบาลให้ความสำคัญและจริงจังกับการแก้ปัญหานี้ โดยตระหนักว่าทุกภาคส่วนมีบทบาทสำคัญในการร่วมกันทำให้ยาเสพติดลดลง แม้ประเทศไทยอาจไม่ใช่แหล่งผลิตหลัก แต่เป็น “ทางผ่าน” ที่ต้องมีการสกัดกั้นอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้ยาเสพติดหลุดรอดเข้าสู่ประเทศได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขณะนี้กองทัพได้ดำเนินการเกี่ยวกับ “Seal Stop Safe” ซึ่งได้ผลดีเป็นอย่างมาก ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันดำเนินการอย่างทุ่มเท เมื่อประชาชนเห็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบจะรู้สึกอุ่นใจ เพราะลงพื้นที่และทำงานกันอย่างจริงจัง นอกจากนี้ เมื่อสามารถลดปริมาณยาเสพติดได้แล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการบำบัดรักษาผู้เสพ ปัจจุบันหลายพื้นที่มีการดำเนินการบำบัดอย่างเข้มข้น มีผู้เข้ารับการบำบัดแล้วกว่า 300,000 คน ซึ่งช่วยลดโอกาสการกลับเข้าสู่วงจรยาเสพติดได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่า ผู้เสพ คือ “ผู้ป่วย” ที่ควรได้รับการรักษาและฟื้นฟู เพื่อให้สามารถกลับคืนสู่สังคมและกลายเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

“ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาในหลายด้าน ทั้งในเรื่องอาชญากรรม โดยใช้มาตรการ “3 ตัด” คือ ตัดน้ำ ตัดไฟ และตัดอินเทอร์เน็ต ซึ่งได้ผลอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอชายแดน มีการปฏิบัติการร่วมกับตำรวจในพื้นที่ 76 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รวมถึงมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอทุกๆ
2 เดือน จนมั่นใจว่าไม่มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดอีก”

สำหรับการเผาทำลายของกลางยาเสพติดในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าของกลางจะไม่ได้กลับเข้าสู่ระบบหรือวนเวียนอยู่ในสังคมอีกต่อไป โดยทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่า ยาเสพติดจะถูกนำเข้าสู่ระบบการเผาทำลายอย่างแน่นอน

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างบูรณาการต่อไป หากมีปัญหาหรือความต้องการความช่วยเหลือใดๆ ขอให้พูดคุยประสานงานกัน เพราะปัญหายาเสพติดคือ “วาระแห่งชาติ” ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนอุปกรณ์ หรือการดูแลเจ้าหน้าที่ทุกคน เพราะนี่คือเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของรัฐบาลว่า ปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่ของชาติ ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพื่อทำให้ยาเสพติดหมดไปจากประเทศไทยอย่างถาวร

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการการแสดงผลการดำเนินงานปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดซึ่งประกอบด้วย บอร์ดการแก้ไขปัญหายาเสพติดเพื่อทำให้ประชาชนมีความสุข บอร์ดการแก้ไขปัญหา Call Center บอร์ดการสกัดกั้นตามแนวชายแดน Seal บอร์ดการสกัดกั้นและปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด Stop บอร์ดการใช้กำลังภาคประชาชนในพื้นที่ชายแดน Safe บอร์ดการบูรณาการทุกภาคส่วน และ บอร์ดการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดสมัยที่ 68 (CND) และได้ชมการสุ่มตัวอย่างยาเสพติดของกลางด้วยวิธี Color’s test รวมถึงการเผาทำลายยาเสพติด

สำหรับผลการดำเนินการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe มีผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน วัดผลที่สำคัญได้ ดังนี้ 1.จับกุมยาบ้า 76,556,800 เม็ด เพิ่มจากปี 2567 กว่า 20 ล้านเม็ด เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 32 และ 2.จับกุมไอซ์ 7,527 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2567 กว่า 7 พันกิโลกรัม เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 1,700 ส่วนการทำลายยาเสพติดของกลางของสำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุขให้ทำลายยาเสพติดของกลางที่ผ่านการตรวจพิสูจน์แล้วจากสถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส.  ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของปี 2568 และนับเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้รัฐบาลนี้ จำนวนคดีรวม 80 คดี น้ำหนักสุทธิยาเสพติดของกลางรวม 23,866.14 กิโลกรัม (23.87 ตัน) และน้ำหนักยาเสพติดของกลางและสิ่งห่อหุ้มรวม 27,816.69 กิโลกรัม (27.82 ตัน)

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้โพสข้อความใน Facebook และ X ระบุว่า ประเทศไทยไม่ใช่ต้นทางผลิตยาเสพติด แต่เป็นทางผ่านไปยังประเทศที่สาม ซึ่งการขนผ่านนี้ทำให้เกิดการลักลอบนำยาเสพติดเข้าไทย ด้วยเหตุนี้ การจะแก้ปัญหา จึงต้องร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและต้องบูรณาการร่วมกับอาชญากรรมอื่น ทั้งปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ การลักลอบขนส่งสินค้าหนีภาษีและผิดกฎหมาย

ในช่วงที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาอาชญากรรม โดยใช้มาตการ 3 ตัด คือ ตัดน้ำมัน-ไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต รวมถึงการดำเนินงานปฏิบัติการสกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน และ 76 สถานีตำรวจใน 14 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เบื้องต้นกำหนดเวลาดำเนินการไว้ 6 เดือน โดยจะประเมินผลงานทุก 2 เดือน เพื่อประเมินผล ทบทวนการทำงาน ซึ่งหากประสบความสำเร็จ จะขยายผลให้ครอบคลุมครบทุกพื้นที่ในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในการทำงาน ต้องย้ำให้ชัดว่าเจ้าหน้าที่รัฐต้องไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขต เน้นการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ในการตรวจสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและต้องพร้อมเผยแพร่การดำเนินงานให้ชัดเจนต่อประชาชนได้รับทราบ มาถึงวันนี้ การจับกุม 27 ตัน จับกุมยาบ้า 76,556,800 เม็ด เพิ่มจากปี 2567 กว่า 20 ล้านเม็ด (32%) จับกุมไอซ์ 7,527 กิโลกรัม เพิ่มจากปี 2567 กว่า 7,000 กิโลกรัม (1,700%)

นี่คือผลงานจากการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และประชาชนทุกคน รัฐบาลขอยืนยันว่า เราจะสนับสนุนการทำงานของทุกภาคส่วนอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมกันทำงานอย่างหนักและเสียสละทำงานอย่างเต็มศักยภาพ สนับสนุนเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีทันสมัยให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง