สธ. เตือนเล่นน้ำสงกรานต์ระวังเสี่ยงหลายโรค แนะวิธีเล่นน้ำให้ปลอดภัย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ ดร.พิเชษฐ์ หนองช้าง เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ แถลงข่าว “ดื่มไม่ขับ ง่วงไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย ใช้อุปกรณ์นิรภัยตลอดการเดินทาง” โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Emergency Operation Center : EOC) ทั้งในส่วนกลางและระดับจังหวัด เพื่อประสานงาน/สนับสนุนการปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประสานและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดตั้ง “ชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน” ออกช่วยเหลือผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ เตรียมความพร้อมหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (Emergency Medical Services : EMS) ทีมปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support : BLS) และขั้นสูง (Advanced Life Support : ALS) ในพื้นที่ห่างไกลโรงพยาบาล ตลอดจนเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น และสนับสนุนการทำงานของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดและรายงานผลภายใน 24 – 48 ชั่วโมง ร่วมกับกรมคุมประพฤติ ประเมิน คัดกรอง บำบัดรักษาผู้ถูกคุมประพฤติฐานขับรถในขณะเมาสุราที่มีความเสี่ยงสูง หรือผู้ติดสุราที่มีปัญหารุนแรงและเรื้อรัง ให้สามารถลด ละ เลิก การดื่มสุรา มีสุขภาพดีขึ้นทั้งกายและใจ

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ช่วงเดือนเมษายนประเทศไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัดและมีเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนจึงมักพาครอบครัวหรือรวมกลุ่มเพื่อนเล่นน้ำคลายร้อนตามแหล่งน้ำที่จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสูงกว่าช่วงปกติ จากข้อมูลกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปี 2558 – 2567 พบว่า เดือนเมษายน มีคนจมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 327 คน กลุ่มอายุ 45 – 59 ปี เสียชีวิตสูงที่สุด (84 คน) รองลงมาเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี (70 คน)
โดยช่วงเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 13 – 15 เมษายน มีคนจมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยวันละเกือบ 15 คน มากกว่าวันปกติถึง 1.5 เท่า เฉพาะวันที่ 13 เมษายน มีการจมน้ำเสียชีวิตสูงที่สุดเฉลี่ย 18 คน ขณะที่ข้อมูลจากระบบรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการตกน้ำ จมน้ำ (Drowning Report) ของกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค พบว่า การจมน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์มากกว่าครึ่งเกิดจากการเล่นน้ำ (ร้อยละ 58.6) และเกิดเหตุมากสุดในแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ร้อยละ 79.3 ที่สำคัญคือ คนที่จมน้ำมีการดื่มแอลกอฮอล์ถึง ร้อยละ 12 และทั้งหมดไม่สวมเสื้อชูชีพ

ปัจจัยเสี่ยงของการจมน้ำทั้งในเด็กและผู้ใหญ่คือ ขาดความรู้เรื่องความปลอดภัยทางน้ำ ขาดทักษะการเอาชีวิตรอดเมื่อตกน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น ไม่สวมเสื้อชูชีพและไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงตัวขณะเล่นน้ำหรือทำกิจกรรมทางน้ำ รวมถึงไม่รู้วิธีช่วยเหลือและปฐมพยาบาลคนตกน้ำ/จมน้ำที่ถูกต้อง จึงขอให้ประชาชนใช้หลัก “ชูชีพ กฎ งดดื่ม” ได้แก่

1. ใส่เสื้อชูชีพทุกครั้งที่เล่นน้ำหรือทำกิจกรรมทางน้ำ หรือใช้อุปกรณ์ช่วยลอยน้ำ เช่น แกลลอนพลาสติกเปล่า ขวดน้ำพลาสติกเปล่า

2. ปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยทางน้ำ เช่น ไม่เล่นน้ำบริเวณที่มีธงแดง/คลื่นลมแรง/คลื่นทะเลดูด ปฏิบัติตามป้ายเตือนและคำแนะนำ 

3. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนหรือขณะทำกิจกรรมทางน้ำ หรือเมื่ออยู่ใกล้แหล่งน้ำ ทั้งนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ขอให้ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นน้ำตามลำพัง

ส่วนผู้ที่พบเห็นคนตกน้ำให้ใช้หลัก “ตะโกน โยน ยื่น” คือ ตะโกนเรียกให้คนมาช่วย โยนอุปกรณ์ใกล้ตัวเพื่อช่วยคนตกน้ำ เช่น เชือก วัสดุที่ลอยน้ำได้ และยื่นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัว เช่น ไม้ เสื้อ ให้คนตกน้ำจับเพื่อดึงขึ้นจากน้ำ หากช่วยขึ้นมาแล้วห้ามจับอุ้มพาดบ่าหรือกระแทกท้องเพื่อเอาน้ำออก แต่ให้ช่วยด้วยการเป่าปากและนวดหัวใจ และโทร.แจ้ง 1669

เตือนเล่นน้ำสงกรานต์ไม่ระวัง เสี่ยงหลายโรค

สงกรานต์เป็นอีกหนึ่งเทศกาลแห่งความสนุกสนาน แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยโรคร้ายต่างๆ เนื่องจากเป็นช่วงหน้าร้อนที่มีการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคได้ง่าย อีกทั้งความอับชื้นจากกิจกรรมเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ เบื้องต้นมี 7 โรคร้ายที่ต้องระวัง

1. โรคไวรัสตับอักเสบเอ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสติดต่อกันผ่านทางน้ำลาย โดยในช่วงเทศกาลเล่นน้ำสงกรานต์อาจทำให้มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้แก้วน้ำร่วมกัน ใช้ช้อนร่วมกัน โดยให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าว

2. ตาแดง ตาอักเสบ จากน้ำที่ไม่สะอาดและสาดอย่างรุนแรง ถ้าหากเป็นการติดเชื้อที่ดวงตาจากน้ำสกปรกจะเป็นโรคตาอักเสบ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ดวงตาจะเป็นหนองบวมและอักเสบ ต้องไม่สาด/ฉีดน้ำใส่บริเวณใบหน้าผู้อื่นโดยตรงและใช้น้ำสะอาดเล่นสงกรานต์

3. โรคผิวหนัง เช่น ผิวหนังอักเสบ (อาการของผิวไหม้จากแสงแดด) เชื้อรา ผดผื่น กลากและเกลื้อน โดยเฉพาะบริเวณซอกต่าง ๆ ตามร่างกาย รวมถึงบริเวณข้อพับต่างๆ ควรเลือกเล่นน้ำในช่วงเวลาก่อน 10.00 น. หรือหลัง 15.00 น. รีบอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังเลิกเล่น

4. ท้องร่วง ท้องเสีย เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสที่ปนเปื้อนในอาหาร ฤดูร้อนเป็นฤดูที่เชื้อโรค เพิ่มจำนวนได้ง่าย ต้องรับประทานอาหารสดใหม่สะอาดและล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทาน

5. ไข้หวัด ปอดอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ ซึ่งการเล่นน้ำทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ท่ามกลางอากาศที่ร้อน ให้หลีกเลี่ยงเล่นน้ำในช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัด หรือเล่นน้ำติดต่อกันเป็นเวลานาน

6. โรคอหิวาตกโรค แหล่งน้ำที่มีเชื้ออหิวาตกโรคและเข้าสู่ร่างกายจากการปนเปื้อน ในน้ำดื่ม อาหารและเผลอนำเชื้อเข้าปาก เพิ่มความระมัดระวังในเรื่องอาหารและน้ำดื่ม

7. โรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรก เกิดจากการตากแดดเป็นเวลานาน

สำหรับอาการเตือนที่บ่งบอกว่าเกิดภาวะฮีทสโตรกคือ ผิวหนังแดง ตัวร้อนจัด ชีพจรเต้นเร็วและแรง ไม่มีเหงื่อ ปวดศีรษะ มึนงง สับสน คลื่นไส้อาเจียน ความรู้สึกตัวลดลง จนถึงหมดสติ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือ กลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็กและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน เป็นต้น ซึ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์หลายพื้นที่มีการจัดกิจกรรมกลางแจ้ง จึงขอให้ระมัดระวังและป้องกันตนเอง ควรเข้าพักในที่ร่มเป็นระยะๆ ดื่มน้ำให้บ่อยขึ้นและมากขึ้นโดยไม่ต้องรอให้กระหายน้ำ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ หากผู้ป่วยรู้สึกตัวให้ดื่มน้ำมากๆ แต่หากไม่รู้สึกตัวให้โทรแจ้งสายด่วน 1669 เพื่อรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

กรมอนามัย แนะวิธีเตรียมพร้อมเล่นน้ำสงกรานต์ให้ปลอดภัย

ก่อนเล่นน้ำ

  • สวมเสื้อผ้าสีอ่อน หลวม น้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี
  • พกน้ำดื่มติดตัวไว้เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
  • สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป
  • ใส่รองเท้าแตะ เพื่อป้องกันการอับชื้น ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคเชื้อราที่เท้า

ช่วงเล่นน้ำ

  • ดื่มน้ำบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์น้ำหวาน น้ำอัดลม
  • ไม่เล่นน้ำกลางแจ้งเป็นเวลานาน โดยเฉพาะช่วง เวลา 11.00 – 15.00 น.
  • ควรเล่นเป็นกลุ่ม และหากมีอาการตัวร้อนจัด ผิวหนังแดงและแห้ง เหงื่อไม่ออก สับสนมึนงง ให้รีบแจ้งบุคคลใกล้ชิดเพื่อพาไปพบแพทย์
  • ไม่เล่นน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัดเพราะอาจป่วยหรืออาจเกิดอุบัติเหตุได้

หลังเล่นน้ำ

  • รีบอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
  • สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
  • ดื่มน้ำบ่อย ๆ ไม่ต้องรอกระหาย
  • อยู่ในบ้าน หรือบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท
  • ไม่เปิดพัดลมจ่อตรงตัว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง