นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกหนี้ทยอยสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก
ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้มากยิ่งขึ้นจึงได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ออกไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 จากเดิมที่กำหนดสิ้นสุดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ธนาคารออมสินและผู้ประกอบธุรกิจ Non- Bank (ผู้ให้บริการทางด้านการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร) ที่อยู่นอกกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในการสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการขยายความร่วมมือเพิ่มเติมกับผู้ให้บริการสินเชื่อ Non- Bank 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้ง 2 แห่งจะเข้าร่วมสนับสนุนเม็ดเงินในโครงการด้วย
โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบด้วย 2 มาตรการสำคัญ ได้แก่
1. มาตรการ “ลดผ่อน ลดดอก” สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่มีสินเชื่อแบบผ่อนชำระ (Installment Loan) โดยจะได้รับการลดภาระค่างวดและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 3 ปี
คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้
- มีวงเงินสินเชื่อในสัญญา ต่อผู้ประกอบธุรกิจ ตามประเภทสินเชื่อ ดังนี้
• สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ วงเงินรวมไม่เกิน 8 แสนบาท
• สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ วงเงินรวมไม่เกิน 5 หมื่นบาท
• สินเชื่อส่วนบุคคล วงเงินรวมไม่เกิน 2 แสนบาท
• สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล วงเงินรวมไม่เกิน 2 หมื่นบาท
• สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ วงเงินรวมไม่เกิน 5 หมื่นบาท
(2) เป็นสินเชื่อที่ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567
(3) มีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
• เป็นหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน
• เคยปรับโครงสร้างหนี้ (ปรับหนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จากการค้างชำระเกิน 30 วัน) แต่ปัจจุบัน ต้องไม่ค้างชำระหรือค้างไม่เกิน 30 วัน
2. มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) และมียอดหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท โดยจะมีการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ชำระหนี้บางส่วนเพื่อปิดบัญชีได้เร็วขึ้น และเริ่มต้นชีวิตทางการเงินใหม่ได้
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/khunsoo จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 เวลา 23.59 น. หรือสามารถติดต่อที่สาขาของ Non- Bank ที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BOT Contact Center โทร. 1213 หรือ Call Center ของผู้ให้บริการ Non- Bank ที่เข้าร่วมมาตรการ
นางสาวศศิกานต์ ระบุว่า รัฐบาลมุ่งมั่นในการดูแลและยืนหยัดเคียงข้างประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ที่ผ่านมา โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถก้าวผ่านวิกฤต และเริ่มต้นใหม่อย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน สนับสนุนสถานประกอบกิจการในการพัฒนาทักษะแรงงาน ผ่านกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยเปิดโอกาสให้กู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ย 0% วงเงินสูงสุด 1,000,000 บาทต่อครั้ง ระยะเวลาผ่อนชำระ 1 ปี โดยเงินกู้ดังกล่าว สถานประกอบกิจการสามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานให้แก่พนักงานได้ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คน ต้องพัฒนาทักษะให้แก่พนักงานของตนเอง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 กรณีที่ไม่ดำเนินการพัฒนาทักษะพนักงาน สถานประกอบกิจการจะต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานตามอัตราที่กำหนด เพื่อต่อยอดให้นายจ้างและสถานประกอบกิจการสามารถยกระดับทักษะพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุนการประกอบกิจการ
ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 2568 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดสรรวงเงินกู้จากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานจำนวน 30 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการพัฒนาทักษะลูกจ้าง โดยขณะนี้มีสถานประกอบกิจการยื่นกู้แล้วจำนวน 12 บริษัท วงเงินรวม 8,242,090 บาท ยังคงมีวงเงินเหลือกว่า 21 ล้านบาท โดยผู้มีสิทธิกู้ยืม (ผู้ดำเนินการฝึก ผู้ดำเนินการทดสอบ ผู้ประกอบกิจการ) ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการยกเว้นภาษีค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมได้ร้อยละร้อย และลูกจ้างที่ผ่านการฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน สามารถใช้ผลการฝึกอบรมดังกล่าวในการประเมินเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานได้อีกด้วย
นายคารม ยังกล่าวว่า การพัฒนาทักษะให้แก่ลูกจ้างจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการส่งเสริม ขณะเดียวกัน แนวโน้มอุตสาหกรรมปัจจุบันมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การแข่งขันสูงในตลาดแรงงาน ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากตลาดมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การให้กู้ยืมเงินจากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานจึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับสถานประกอบกิจการที่ต้องการพัฒนาทักษะแรงงาน แต่ประสบปัญหาด้านงบประมาณ โดยสามารถยื่นคำขอกู้ยืมเงินได้ตั้งแต่วันนี้ และทำสัญญาภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ผ่านสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกจังหวัด หรือยื่นผ่านระบบ https://e-fund.dsd.go.th/ ได้แล้ว