นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนส่วนใหญ่ออกไปร่วมสนุกกับกิจกรรมสาดน้ำอย่างชุ่มฉ่ำทั่วประเทศ อาจเป็นสาเหตุทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายๆ โดยโรคที่มักเกิดขึ้นมี 5 โรค ที่ไม่ควรมองข้ามช่วงหลังสงกรานต์ ประกอบด้วย
1.โรคไวรัสตับอักเสบเอ มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสผ่านทางน้ำลาย แม้จะติดเชื้อแบบเฉียบพลันเท่านั้น จะไม่เป็นโรคตับเรื้อรัง แต่ก็อยู่ในลิสต์ต้องระวัง โดยช่วงสงกรานต์หลายคนอาจมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้แก้วน้ำ ใช้ภาชนะร่วมกัน ซึ่งเชื้อไวรัสนี้จะทำให้ตับเกิดการอักเสบ เมื่อได้รับเชื้อเข้าไปจะมีระยะฟักตัวราว 14-28 วัน เมื่อแสดงอาการผู้ป่วยจะ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดท้อง ถ่ายเหลว ท้องเสีย โดยปัสสาวะจะสีเข้ม อุจจาระสีอ่อน ซึ่งถ้าเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้วมีโอกาสน้อยที่จะกลับมาเป็นซ้ำอีกเพราะมีภูมิต้านทานแล้ว เป็นโรคที่ ควรระวังช่วงสงกรานต์
2.โรคตาแดง เกิดจากการติดเชื้อไวรัสจากการสัมผัสน้ำตาผู้ที่เป็นโรคตาแดงอยู่ก่อน โดยมืออาจไปสัมผัสเชื้อแล้วนำมือมาสัมผัสตาตนเอง หรืออาจได้รับเชื้อที่กระจายอยู่ในอากาศ หรือจากน้ำที่กระเด็นเข้าตา โดยเชื้อใช้เวลาฟักตัว 1-2 วันก่อนแสดงอาการ ซึ่งมักตรวจพบเชื้อก่อโรคบริเวณตาและลำคอได้ตั้งแต่วันแสดงอาการถึง 14 วันหลังเริ่มมีอาการ โดยมีสัญญาณของอาการเริ่มจาก ระคายเคืองตา ปวดเล็กน้อยในเบ้าตา น้ำตาไหล เมื่ออาการรุนแรงขึ้นอาจทำให้เปลือกตาบวม ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตและกดเจ็บ จากนั้นเยื่อบุตาจะค่อยๆ แดงขึ้นจนแดงก่ำ โดยส่วนใหญ่จะหายเองใน 1-3 สัปดาห์ แต่บางราย อาจมีอาการเรื้อรังเป็นเดือน จนทำให้เกิดพังผืดที่เยื่อบุตาได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการควรพบจักษุแพทย์จะดีที่สุด
3.โรคเชื้อราผิวหนัง ถือเป็นโรคฮิตที่พบได้เสมอหลังผ่านพ้นเทศกาลสงกรานต์ จากการเล่นสาดน้ำติดต่อกันนานๆ โดยบริเวณที่เป็นจุดเสี่ยงจะเกิดโรคเชื้อราได้นั้น อาทิ บริเวณซอกต่างๆ บนร่างกาย เช่น ซอกนิ้วมือ นิ้วเท้า ขาหนีบ หรือข้อพับต่างๆ โดยเมื่อผิวหนังติดเชื้อรา จะ มีลักษณะผิวเปื่อยลอก หรือผื่นแดงแฉะ หรือมีขุยขาวลอกออกมา แต่ถ้าเป็นชนิดผื่นหนา ผิวจะเปื่อยยุ่ย ลอกเป็นขุย มีกลิ่นเหม็น ซึ่งหาก ปล่อยให้ติดเชื้อเรื้อรัง ผื่นจะหนาขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ยากต่อการรักษาให้หายขาด ทั้งยังเป็นช่องทางให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น ส่วนการรักษาโรคเชื้อราผิวหนัง มีคำแนะนำคือ ต้องทายาฆ่าเชื้อราสม่ำเสมอ แม้อาการดีขึ้นก็ไม่ควรหยุดทาทันที แต่ควรทาต่อเนื่องอย่างน้อย 4 สัปดาห์และควรหลีกเลี่ยงยาทาฆ่าเชื้อโรคอื่นที่มีฤทธิ์ระคายเคืองผิวหนัง หรือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ยิ่งแห้งยิ่งคันมากขึ้นและควรรักษาความสะอาดโดยทำให้ผิวที่ติดเชื้อราแห้งอยู่เสมอ ก็จะป้องกันการเป็นซ้ำอีกได้
4.โรคท้องร่วง-ท้องเสีย เกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่ง ช่วงสงกรานต์เป็นฤดูร้อน เป็นช่วงที่เชื้อโรคเพิ่มจำนวนได้ง่าย ทำให้เสี่ยงที่จะป่วยโรคท้องเสียได้ง่ายด้วย โดยการดูแลเบื้องต้นนั้น ในรายที่ท้องเสียเฉียบพลัน อาการไม่มาก มีคำแนะนำให้ถ่ายออกมาจนหมด หลีกเลี่ยงการรับประทานยาหยุดถ่าย เพราะจะทำให้ของเสียหรือเชื้อโรคยังสะสมอยู่ในลำไส้และระหว่างมีอาการให้เลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบ แต่ควรจะรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย และถ้าหากถ่ายบ่อยจนร่างกายอ่อนเพลีย ก็ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ร่วมด้วย แต่ถ้าผู้ที่ท้องเสียเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้สูงอายุ ไม่ควรรักษาเอง แต่ควรไปพบแพทย์จะดีที่สุด เพราะถ้าอาการรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
และ 5. โรคปอดอักเสบ หรือที่เรียกว่า “ปอดบวม” โรคนี้เกิดจากการอักเสบของเนื้อปอด โดยเฉพาะที่บริเวณถุงลมของปอด ซึ่งผู้ป่วยปอดอักเสบอาจมีอาการที่แตกต่างกันไป ขึ้นกับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ อายุผู้ป่วย และความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปมักมีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน เช่น ไอ เจ็บคอ มีไข้ มีน้ำมูก หายใจหอบเหนื่อย แต่บางรายก็อาจมีอาการไม่เฉพาะเจาะจง อาทิ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย หรือบางรายอาจหนาวสั่น
รัฐบาลห่วงใยสุขภาพประชาชน แนะประชาชนเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคต่างๆ ที่ตามมาหลังสงกรานต์ ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้หลายระบบและมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม หากมีอาการเจ็บป่วย ควรรีบพบแพทย์ทันที
