นายกฯ ติดตามคดีตึก สตง. ถล่ม – มท. เร่งช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประชุมและรับฟังรายงานผลการตรวจสอบอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการตำรวจพิสูจน์หลักฐานกลาง พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ และพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)

 ภายหลังการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า ได้ติดตามความคืบหน้าตึก สตง. ถล่ม โดยได้รับรายงานจากตำรวจและดีเอสไอ จึงขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือกับตำรวจให้มากกว่านี้ และยังมีเรื่องเอกสารหลักฐานสำคัญค่อนข้างได้รับช้า เพราะเรื่องนี้รอไม่ได้ ต้องเร่งหาหลักฐานและเหตุผลให้ครบ เพื่อให้มีข้อมูลที่สามารถรับผิดชอบต่อชีวิตที่เสียไปจำนวนมากในครั้งนี้ด้วย พร้อมย้ำว่า
ขอความร่วมมือทั้งหมด ทั้งจาก สตง. และการรายงานผลจากคณะกรรมการตรวจสอบว่ามีการผิดสัญญา แต่ไม่มีการยกเลิกสัญญาในเวลาที่กำหนด ตั้งแต่มกราคม 2568 ซึ่งต้องขอดูเอกสารเพิ่มเติมในส่วนนี้ และข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา และกรมทรัพยากรธรณี ถึงผลกระทบจากแผ่นดินไหวว่า กทม. ได้รับผลกระทบมากกว่าปกติหรือไม่ ทำไมจึงเกิดตึกถล่มในครั้งนี้ จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะมีการขอความร่วมมือจากกรมบัญชีกลาง ที่เป็นหน่วยงานในการควบคุมมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างในการดูคุณภาพของวัสดุก่อสร้างเพื่อชี้วัด และมีอำนาจในการบอกเลิกสัญญา รวมถึงกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นหน่วยงานที่ร่วมตรวจรับการออกแบบการก่อสร้าง และการตรวจรับงาน ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องในความเสียหายนี้ ต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องในการตรวจรับจากกรมโยธาธิการและผังเมืองในตึก สตง. ที่ผ่านมา ควรจะแยกออกจากกระบวนการการสืบสวนด้วย

ขณะนี้ ดีเอสไอกำลังดำเนินคดีถึงมาตรฐานของเหล็ก และคุณภาพของปูนที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงการแก้ไขแบบที่แกนกลางของ Core Wall และ Core lifts ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของตึก แต่ไม่มีการเสริมเหล็กทำให้เกิดความเสี่ยงในอาคาร รวมถึงการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการฮั้วประมูล

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า จะเน้นย้ำเรื่องนี้ใน ครม. อีกครั้ง และต้องการให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ได้ปล่อยมือจากเรื่องนี้เลย ส่วนตัวรับเรื่องนี้ไม่ได้กับการที่มีคนเสียชีวิตไปด้วยเหตุผลที่มีตึกถล่มหนึ่งตึก
ถ้าเกิดแผ่นดินไหวแรงเหมือนในเมียนมาทั้งหมดแบบนั้น ห้ามไม่ได้ แต่อันนี้มีเพียงแค่หนึ่งตึก และตนเองก็ติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง ส่วนการทำโมเดลตึกถล่มออกมาให้ชัดเจนยิ่งขึ้นใน 90 วัน คือส่วนที่หาเหตุผลโดยละเอียด ทั้งลม แรงสั่นสะเทือน ซึ่งระหว่างนี้ต้องดูว่าการดำเนินงานต่างๆ ถูกต้องหมดแล้วหรือไม่ ตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นการจะสรุปอะไรในวันนี้ ต้องรอทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และดีเอสไอในการหาหลักฐานที่ชัดเจนก่อน หากตนพูดก่อนก็จะโดนฟ้องได้ ดังนั้น ต้องรอ ไม่ว่าจะเป็นการออกหมายจับ ซึ่งได้พูดคุยแล้วว่าเมื่อมีหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับ ให้ออกได้เลย เพราะฉะนั้นอีกไม่นานก็จะเริ่มมีการออกหมายจับ

สำหรับการตั้งข้อสังเกตว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือน้อยนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือไม่เต็มที่ ก็ต้องถูกตั้งข้อสังเกตอยู่แล้ว จึงมาขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือให้เต็มที่ เพื่อที่จะได้ไม่เป็นข้อครหาของพี่น้องประชาชน 

ส่วนจะต้องมีการสะสางกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของ สตง. และหน่วยงานทั้งหมดเลยหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ควรจะเกิดขึ้นอยู่แล้วในทุกตึก ไม่ใช่แค่ตึกของรัฐ หรือราชการเท่านั้น ทุกตึกต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ แต่เมื่อเกิดปัญหา เราต้องดำเนินคดีตรวจสอบและทำให้ชัด

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการปลอมลายเซ็นว่า มีบางท่านแจ้งว่าลายเซ็นถูกปลอมแปลง ซึ่งต้องมีการตรวจสอบต่อไปว่าถูกปลอมแปลงจริงหรือไม่ ซึ่งได้รับทราบมาแล้ว ส่วนถ้ามีการปลอมแปลง แสดงว่ามีคนใน สตง. เกี่ยวข้องด้วยนั้น ขอให้ว่าไปตามหลักฐาน จะไม่มีการเหมารวม ถ้าออกแบบผิดก็ต้องไปดูในรายชื่อ ตามหลักฐาน ส่วนแบบแปลนที่มีปรับแก้นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีหลักฐานบางอย่างที่ออกมาแล้ว ขอให้มีข้อมูลครบกว่านี้ แต่ก็เป็นไปตามที่สื่อรายงาน ต้องเอาหลักฐานมาดู และขณะนี้ใกล้ที่จะออกหมายจับแล้ว พร้อมย้ำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีคนผิดเลย ต้องมีบางจุดแน่นอนที่ผิดไปจากทุกตึกปรากฏชัดเจน และการไม่มีคนรับผิดชอบในเรื่องนี้คงเป็นไปได้ยาก

นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ผ่าน X ระบุว่า “เรื่องตึก สตง. ยังเป็นวาระใหญ่ของคนไทยตอนนี้ค่ะ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะทำงานอย่างไม่ปล่อยมือเช่นกัน ถึงแม้ดิฉันได้ให้เวลาสอบสวนอีก 90 วัน เพื่อให้ 4 สถาบัน และ กรมโยธาฯ ได้ทำโมเดล ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการสอบสวนเท่านั้น แต่ในระหว่างที่กระบวนการสืบสวนดำเนินไป ดิฉันได้เชิญทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ DSI เข้ามารายงานความคืบหน้า โดยเฉพาะหลักฐานที่แต่ละส่วนได้รวบรวมไว้ เพื่อเร่งดำเนินการให้คดีนี้มีความคืบหน้าในการหาผู้กระทำความผิด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบสาเหตุที่ตึกถล่ม ซึ่งเป็นความประมาททางอาญา เพื่อหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบ โดยการตรวจสอบตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้าง เอกสาร/สัญญา การแก้ไขแบบงานโครงสร้าง กระบวนการตรวจรับงาน วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้และอื่นๆ

DSI – เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบ 3 เรื่องหลักๆ คือ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (การฮั้วประมูล) และการควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

ทั้งหมดนี้มีเอกสารที่ค่อนข้างชัดเจน คาดว่าน่าจะมีการดำเนินคดีได้ภายในเร็ว ๆ นี้  ดิฉันได้ขอให้หน่วยงานรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะจากทาง สตง. กรมโยธาฯ​ กรมอุตุฯ​ และหน่วยงานอื่นๆ เร่งรัดการส่งเอกสารที่ยังขาดอยู่ เข้ามาให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบโดยเร็ว นอกจากนี้เจ้าหน้าที่จากกรมโยธาฯ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจรับงาน การตรวจแบบก่อสร้างของอาคาร สตง. ขอให้แยกออกจากกระบวนการสืบสวนหาข้อเท็จจริงด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส สำคัญที่สุด คือการพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคล ดิฉันขอให้ทุกฝ่ายดำเนินการด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ โดยขอให้รายงานข้อมูลกลับไปยังครอบครัว และดิฉันขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อทุกครอบครัวที่สูญเสีย มา ณ ที่นี้อีกครั้งค่ะ ดิฉันอยากให้พี่น้องประชาชนมั่นใจค่ะ ว่าเรื่องนี้จะไม่มีการปล่อยมือ ไม่มีการปกปิดใดๆ ทุกหลักฐานจะถูกพิจารณาอย่างละเอียด และนำไปใช้ดำเนินคดีอย่างยุติธรรมโปร่งใสแน่นอนค่ะ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีอาคาร สตง. ถล่ม ว่า ขณะนี้คณะกรรมการฯ ได้วางกรอบไว้หมดแล้ว และได้รายงานต่อ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมถึงรายงานตนเอง ตอนนี้พอจะทราบหนึ่งในสาเหตุซึ่งตรงกับที่ทาง ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย
ราชบัณฑิตสาขาวิศวกรรมโครงสร้างได้ออกมาเปิดเผยถึงข้อสันนิษฐานทางสื่อสังคมออนไลน์

ตอนนี้เราไปดูเรื่องการออกแบบก่อน เพราะมีเรื่องการออกแบบที่มันไม่สมมาตร (อสมมาตร : อะ-สม-มาด) ซึ่งเมื่อเกิดแผ่นดินไหว นอกจากจะเกิดการแกว่งของตัวตึกแล้ว พอการออกแบบอาคารไม่สมมาตรก็ทำให้เกิดแรงบิดด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อเกิดเหตุเช่นนั้นเราต้องไปดู Safety Factor ว่าได้ออกแบบให้เกิดความปลอดภัย ทนต่อแรงบิด แรงเฉื่อย ตามหลักวิศวกรรมตามกฎหมายหรือไม่

นายอนุทิน กล่าวว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง มีหน้าที่ตรวจสอบเรื่องของสาเหตุตึกถล่มในเชิงวิศวกรรมศาสตร์ จะตรวจสอบและสรุปข้อมูลเพื่อที่จะส่งไปให้ทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งเป็นเจ้าของโครงการได้รับทราบ เพื่อไปดำเนินการต่อ ซึ่งคนที่เป็นคณะกรรมการฯ นั้น ท่านเป็นอาจารย์ เป็นนายกสภาวิศวกร เป็นกรรมการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนของคณะวิศวกรรมศาสตร์จากสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ที่เชื่อถือได้ทั้งหมด ดังนั้น เป็นเรื่องทางเทคนิค เมื่อคณะกรรมการฯ ขอเวลา 90 วัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ถ้าออกแล้วต้องไม่มีข้อโต้แย้ง ผิดก็ต้องผิดเลย ไม่มีการเอาไปดูว่าผิดไหม ซึ่งเขามีการตรวจสอบคำนวณเชิงลึกแยกตามสถาบันด้วย ส่วนเรื่องการกระทำผิด เรื่องฮั้ว เรื่องการทุจริต เรื่องการประมูล ไม่ใช่หน้าที่ของกรมโยธาธิการและผังเมือง

ส่วนเรื่องการปลอมแปลงเอกสารตามที่ติดตามข่าวจากสื่อมวลชน ขณะนี้ทราบว่า DSI กำลังติดตามเรื่องนี้อยู่ แต่โดยส่วนตัวในฐานะเป็นวิศวกรคนหนึ่งฟังแล้วไม่สบายใจ เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องวิชาชีพ เหมือนกับแพทย์ที่ไปออกใบรับรองแพทย์ที่ไม่เป็นไปตามความจริง มันผิดหลักจรรยาบรรณแพทย์ ซึ่งการปลอมแปลงลายเซ็นเป็นเรื่องใหญ่มากถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องดำเนินคดี และตนจะเชิญกรมโยธาธิการและผังเมือง มาหารือว่า กรมฯ ได้มีการควบคุมเรื่องของจรรยาบรรณวิชาชีพหรือไม่ เช่น สภาวิศวกรที่เป็นคนออกใบอนุญาต (License) วิศวกร ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องมีการดำเนินการตามกฎหมาย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (แผ่นดินไหว) กรุงเทพมหานคร ให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหว โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และ รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมในพิธี

นายอนุทิน กล่าวว่า จากกรณีแผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความเสียหายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครเสียหายมากที่สุด ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิต จำนวน 49 ราย อยู่ระหว่างพิสูจน์อัตลักษณ์ 2 ราย (ข้อมูลจากศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย ปภ. ณ วันที่ 18 เม.ย. 68 เวลา 06.00 น.) เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติเป็นไปอย่างเหมาะสม ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้ ปภ. ปฏิบัตินอกเหนือหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ  กรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 กรณีแผ่นดินไหว ด้านการดำรงชีพ โดยปรับเพิ่มเงินช่วยเหลือใน 3 ส่วน ได้แก่ ค่าจัดการศพผู้เสียชีวิต รายละ 100,000 บาท ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บถึงขั้นพิการ รายละ 100,000 บาท และค่ารักษา พยาบาลเท่าที่จ่ายจริงเฉพาะส่วนที่เบิกไม่ได้ตามสิทธิ์ของผู้ประสบภัยตามอัตราที่ทางราชการกำหนด

สำหรับผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหว ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล และญาติของผู้เสียชีวิตมารับศพไปประกอบพิธีทางศาสนา พร้อมได้ยื่นเอกสารขอรับการช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการและผ่านการตรวจสอบข้อมูลถูกต้องแล้ว 17 ราย วันที่ 18 เมษายน 2568 ปภ.ได้ส่งมอบเงินค่าจัดการศพผู้เสียชีวิต รายละ 100,000 บาท ให้แก่ญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 17 รายเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่ญาติได้รับศพไปประกอบพิธีที่ต่างจังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี 1 ราย หนองคาย 3 ราย น่าน 2 ราย อุทัยธานี 1 รายอุดรธานี 1 ราย นครพนม 1 ราย ชัยนาท 1 ราย ขอนแก่น 1 ราย พิษณุโลก 1 ราย สุพรรณบุรี 1 ราย ชัยภูมิ 2 ราย และหนองบัวลำภู 2 ราย โดยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนวยความสะดวกดูแลการรับโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของญาติผู้เสียชีวิต สำหรับกรณีนายชัชวาล ทองพุฒ ชาวจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่ถล่ม มีทายาทเป็นบุตร 2 คน ขณะนี้ยังคงอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อรอการค้นหาร่างของคุณแม่ ซึ่งได้เดินทางมารับเงินค่าจัดการศพของบิดาด้วยตนเองที่ ปภ. ส่วนผู้เสียชีวิตรายอื่น เมื่อหน่วยงานพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ญาติดำเนินการทางเอกสาร และได้รับการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วน ปภ. จะได้ดำเนินการส่งมอบเงินค่าจัดการศพจำนวน 100,000 บาท ต่อไป

ขอให้ผู้ประสบภัย ญาติของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ เชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้ความช่วยเหลือทุกท่านอย่างเต็มที่ ซึ่งงบประมาณที่กรมบัญชีกลางอนุมัติให้ ปภ. ในส่วนของค่าจัดการศพผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บถึงขั้นสูญเสียอวัยวะ และค่ารักษาพยาบาลถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ผู้ประสบภัยยังจะได้รับเงินช่วยเหลือตามระเบียบหลักเกณฑ์ของทางราชการ รวมถึงเงินชดเชยส่วนอื่นๆ ตามสิทธิทางกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

ด้านนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ย้ำแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีเหตุแผ่นดินไหว ให้ยึดหลักรวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 พร้อมประสานกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่ประสบภัย เร่งสำรวจและจัดทำบัญชีความเสียหาย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้เร็วที่สุด

สำหรับผู้ประสบภัยที่จะยื่นความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือ ขอให้เตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน ประกอบด้วย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรที่ทางราชการออกให้ สำเนาทะเบียนบ้าน กรณีเป็นเจ้าบ้าน/เจ้าของบ้าน หนังสือรับรอง ผู้ประสบภัยที่ออกโดยสำนักงานเขตพื้นที่ที่เกิดภัย สำเนาบันทึกประจำวันของตำรวจ ที่ระบุรายละเอียดความเสียหายของบ้านเรือนที่อยู่อาศัยประจำ เอกสารแสดงสิทธิ์ในที่ดินที่เกิดภัยหรือใบรับรองแทนโฉนดที่ดิน กรณีมีผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวและเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องมีใบมรณะบัตรและหนังสือรับรองการเสียชีวิตจากภัยที่เกิดขึ้น และรูปถ่ายสภาพความเสียหายของบ้านที่เกิดภัย โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถนำไปยื่นที่สำนักงานเขตในพื้นที่เกิดภัย ส่วนพื้นที่จังหวัดอื่น สามารถนำไปยื่นขอรับความช่วยเหลือได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่เกิดภัย

นายภาสกร อธิบดี ปภ. ระบุว่า ขอให้ประชาชนผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ยังไม่ได้ไปแจ้งความประสงค์และยื่นเอกสารขอรับการช่วยเหลือเยียวยา ขอให้รีบไปประสานติดต่อสำนักงานเขตในพื้นที่ประสบภัย ส่วนผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ในเขตจังหวัดอื่น ให้ไปแจ้งที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เกิดภัย โดยให้เตรียมเอกสารหลักฐานไปให้ครบถ้วน และเมื่อกรุงเทพมหานครและจังหวัดตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย และผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการฯ ตามระเบียบกฎหมายแล้ว จะแจ้งเรื่องมายังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่ออนุมัติการช่วยเหลือประชาชนตามระเบียบหลักเกณฑ์ต่อไปโดยเร็ว”

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหว และยังได้กำชับให้ ปภ. ประสานกับทุกจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกวดขัน ป้องกันอุบัติภัยต่างๆ ตลอดจนเตรียมการให้พร้อมสำหรับการบริหารจัดการภัยพิบัติทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในส่วนภัยธรรมชาติ อาทิ ภัยแล้ง พายุ น้ำท่วม ที่เกิดตามฤดูกาลที่มีแผนรับมืออยู่แล้ว ขอให้ดำเนินการตามแผนงานอย่างเคร่งครัดตั้งแต่การแจ้งเตือน การอพยพ ช่วยเหลือ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สินของประชาชน

ในส่วนการดำเนินการมาตรการป้องกันและการเตือนภัยได้มอบหมายให้ ปภ. นำข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนโยบายของนายอนุทิน หารือร่วมหน่วยที่เกี่ยวข้อง นำระบบการแจ้งเตือนภัย  ผ่านระบบ Cell Broadcast มาใช้ในการแจ้งเตือน โดยแจ้งข้อมูลแผ่นดินไหว เมื่อความรุนแรงแผ่นดินไหวถึงเกณฑ์การแจ้งเตือนภัย คือ เมื่อเกิดแผ่นดินไหวในประเทศขนาด 4.0 ขึ้นไป กรมอุตุนิยมวิทยา จะเป็นผู้ส่งข้อความแรก (First Message) ไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยตรงผ่านระบบ Cell Broadcast เพื่อแจ้งข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ หลังจากนั้น ปภ. จะเป็นผู้ส่งอัพเดทสถานการณ์ วิธีปฏิบัติตัว จนกระทั่งสิ้นสุดภัย

ส่วนการแจ้งเตือนภัยอื่น เช่น พายุฤดูร้อน น้ำท่วมฉับพลัน น้ำล้นตลิ่ง หน่วยที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จะส่งข้อมูลการแจ้งเตือนภัยมายัง ปภ. หลังจากนั้นหน่วยงานดังกล่าว จะทำการวิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกันในรูปแบบของ War Room เมื่อถึงเกณฑ์การแจ้งเตือนภัย ปภ. จะส่งคำแจ้งเตือนไปยังประชาชนผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อแจ้งเตือนผ่านระบบ Cell Broadcast

ทั้งนี้ การส่งข้อความผ่านระบบ Cell Broadcast ที่ทำได้ ณ ปัจจุบัน ก่อนที่ระบบ Cell Broadcast Entity หรือ CBE ของ ปภ. จะแล้วเสร็จ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ราย (AIS/True/NT) จะรับข้อความแจ้งเตือนจาก ปภ. หลังจากนั้นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะส่งข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast Centre หรือ CBC ไปก่อน เพื่อส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนในพื้นที่

นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังได้กำชับให้ทั้ง ปภ. จังหวัด และท้องถิ่นเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงสิทธิรวมถึงช่องทางในการขอรับความช่วยเหลือกรณีเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น เมื่อในพื้นที่ได้ประกาศเขตภัยพิบัติและเขตให้การช่วยเหลือประชาชนสามารถขอรับการช่วยเหลือได้ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 โดยในเขตกรุงเทพมหานคร สามารถยื่นเอกสารขอรับความช่วยเหลือได้ที่สำนักงานเขตในพื้นที่ที่ประสบภัย และผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดอื่น ยื่นเอกสารขอรับความช่วยเหลือได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่ประสบภัย โดยในพื้นที่ กทม. มีระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อาทิ ค่าที่พักอาศัยชั่วคราว (ค่าเช่าบ้าน) เงินปลอบขวัญกรณีได้รับบาดเจ็บจากเหตุสาธารณภัย ค่าเงินทุนประกอบอาชีพ กรณีเครื่องมือประกอบอาชีพหลักได้รับความเสียหายไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง