นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการ/ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เป็นประธานปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2568 โดยมี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพรรณรบ เตชะมงคลาภิวัฒน์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมด้วย และเป็นการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ตลอดจนทุกภาคส่วนทั่วประเทศ ผ่านระบบ Video Conference
นายอนุทิน กล่าวว่า ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ช่วงสงกรานต์เรามีสถิติใหม่ของการดำเนินการศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2568 ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2568 รวม 7 วัน จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ดำเนินการอย่างเข้มข้น ส่งผลให้มีจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิต ในอัตราที่ลดลงเกือบ 1 ใน 4 เรียกได้ว่า ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลจากการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วนในทุกระดับอย่างแท้จริง ซึ่งมีการดำเนินการมาตรการเชิงรุกไปใช้ดำเนินการอย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ทั้งการประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักรู้ การกระตุ้นให้ประชาชนเคารพกฎจราจร การเพิ่มความเข้มงวดด้านความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ การคืนพื้นผิวจราจร การเปิดให้ใช้เส้นทางหลวงสายพิเศษต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาปริมาณการสัญจรบนถนนสายหลัก การเพิ่มตั๋วโดยสารรถสาธารณะ รถไฟ และเครื่องบิน เพื่อลดปริมาณการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล รวมถึงการตั้งจุดตรวจและชุดเคลื่อนที่เร็วของตำรวจ จุดบริการประชาชน และด่านชุมชนทั่วประเทศ โดยในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินการด่านชุมชน จากการตั้งด่าน ณ ที่ตั้ง เป็นชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อลงไปเคาะประตูบ้าน และตรวจตราที่จุดจัดงานสงกรานต์ จุด zoning เล่นน้ำ และจุดที่มีการจัดงานประเพณี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการดำเนินการเชิงรุก ที่ช่วยป้องปรามผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงและส่งผลช่วยให้อุบัติเหตุทางถนนลดลง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลักที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน คือการใช้ความเร็ว โดยรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด และการไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย ซึ่งทุกภาคส่วนจะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องต่อไป เพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนให้ได้มากที่สุด
นายอนุทิน ระบุว่า ในฐานะตัวแทนรัฐบาลขอขอบคุณคณะอนุกรรมการฯ ผู้ว่าราชการจังหวัด และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ทุกระดับ ที่ได้มุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละวันหยุดเพื่อมาปฏิบัติงาน ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยความปลอดภัยและมีความสุข ทั้งการมอบสิ่งของและเครื่องดื่มในการสนับสนุนการตั้งด่าน และขอขอบคุณประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างดียิ่ง อันเป็นกำลังใจให้เราขับเคลื่อนให้จำนวนอุบัติเหตุลดลง เพราะเป็นภารกิจของเราที่จะต้องช่วยกันดูแลชีวิตของประชาชนและป้องกันอันตรายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และขอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ถอดบทเรียน เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการการดำเนินงานที่สามารถแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และร่วมมือกันบูรณาการการทำงานเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างใกล้ชิดและจริงจัง โดยใช้กลไกของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนกรุงเทพมหานคร ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ เขต (กทม.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับภาคประชาชน จิตอาสา และอาสาสมัครในพื้นที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งนำสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ ไปพัฒนารูปแบบ ปรับปรุงการรณรงค์ต่างๆ ให้จำนวนลดลงอีกในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 และในเทศกาลต่อๆ ไป เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีความปลอดภัยทางถนนได้อย่างยั่งยืน
ด้านนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี เพื่อรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2568 กล่าวว่า จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงสงกรานต์ พ.ศ. 2568 พบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงที่สุดคือการขับรถเร็ว รองลงมาเป็นการดื่มแล้วขับ โดยมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงที่สุด ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.) ขอให้ทุกภาคส่วนถอดบทเรียนและหาแนวทางเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เหมาะสม แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ลดการเกิดอุบัติเหตุในรถจักรยานยนต์ ลดพฤติกรรมการขับรถเร็วและการดื่มแล้วขับให้ได้ โดย ศปถ. ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และให้ความรู้หลักการใช้พาหนะอย่างปลอดภัย อาทิ การตรวจสอบความพร้อมของยานพาหนะ การขับขี่ยานพาหนะอย่างถูกต้อง และการจัดทำประกันภัย เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ขับขี่ให้มีจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยทางถนน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความปลอดภัยทางถนนให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างยั่งยืน และการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือเพียง 12 คน ต่อแสนประชากรได้จริง
ขณะที่นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี พ.ศ. 2568 กล่าวว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัด ดำเนินการกำกับ ติดตาม และตรวจสอบข้อมูลอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งรวบรวมและรายงานปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติที่เกิดจากการดำเนินงานในพื้นที่ เสนอต่อศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์และกำหนดแนวทางการดำเนินงานในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และในโอกาสนี้ขอฝากถึงประชาชนทุกคนให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความปลอดภัยทางถนน โดยเริ่มต้นจากการไม่ทำพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย การขับรถเร็ว การดื่มแล้วขับ การตัดหน้ากระชั้นชิด ตลอดจนการเพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน การขับรถตามกฎจราจร และการมีน้ำใจกับผู้ร่วมใช้เส้นทาง ทั้งนี้ เพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ป้องกันไม่ให้ใครต้องสูญเสียคนสำคัญไปจากอุบัติเหตุทางถนนในปีนี้
จำนวนอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 7 วันของการรณรงค์ (11 – 17 เม.ย. 68) เทียบกับปี 2567 เกิดอุบัติเหตุรวม 1,538 ครั้ง (ลดลง 506 ครั้ง) คิดเป็น ร้อยละ 24.76 จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด คือ พัทลุง 63 ครั้ง ลำปาง 52 ครั้ง และนราธิวาส 49 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 1,495 คน (ลดลง 565 คน) คิดเป็นร้อยละ 27.43 จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด คือ พัทลุง 61 คน ลำปาง 58 คน และนราธิวาส 53 คน ผู้เสียชีวิต รวม 253 ราย (ลดลง 34 ราย) คิดเป็นร้อยละ 11.85 จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร 19 ราย พิษณุโลก สระแก้ว เชียงราย 10 ราย และนครราชสีมา 9 ราย
สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 41.68 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 23.86 ตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 19.38 /พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 63.33 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 19.34 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 18.88 /ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 83.34
ประเภทถนนที่เกิดอุบัติเหตุ ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 30.17 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด เวลา 15.00-18.00 น. ร้อยละ 20.68 เวลา 18.01-21.00 น. ร้อยละ 20.16 ช่วงอายุผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด 20-29 ปี ร้อยละ 19.16
ในห้วง 7 วันอันตรายมีผู้ถูกเข้ากระบวนการคุมประพฤติตามกฎหมาย จำนวน 6,405 คดี ลดลงจากปี 2567 (7,388 คดี) คิดเป็นร้อยละ 12.63 โดยพบว่าเป็นความผิดฐานขับรถขณะเมาสุรา 6,100 คดี ซึ่งจังหวัดที่มีสถิติขับรถขณะเมาสุราสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 406 คดี สมุทรปราการ 351 คดี และเชียงใหม่ 302 คดี