รัฐบาลเดินหน้าปราบบุหรี่ไฟฟ้าต่อเนื่องทำสถิติลดลงกว่าร้อยละ 80 ย้ำบังคับใช้กฎหมายเข้ม

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยซึ่งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาทำให้สถิติยอดทั้งจำหน่ายและผู้เสพลดลงกว่าร้อยละ 80 โดยที่ผ่านมา การแพร่ระบาดส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก จากการสำรวจสุขภาพคนไทยของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และภาคีเครือข่าย โดยการตรวจร่างกายซึ่งมีการสำรวจเกี่ยวกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าพบว่า ในช่วงระยะเวลา 2567 – 2568 มีตัวเลขของนักสูบที่มีอายุน้อยลง ซึ่งพบเด็กและเยาวชน อายุ 15 – 29 ปี มีแนวโน้มการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 5.8% ในปี 2562 เป็น 12.2% สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของวัยรุ่น อย่างชัดเจนในกลุ่มเด็กและเยาวชนไทย

นายอนุกูล กล่าวว่า เพื่อปกป้องสุขภาพของเด็กและเยาวชน อีกทั้งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายและภัยคุกคามต่อสุขภาพจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องให้กับประชาชน ขอให้ตระหนักว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลระยะยาวในโรงพยาบาล โดยข้อมูลจากการศึกษาการประเมินต้นทุนค่ารักษาพยาบาลจากโรคที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าในช่วงปี 2567 ของคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พบภาระค่าใช้จ่ายการรักษาระยะยาวจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ 1. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง  2. โรคหลอดเลือดสมอง 3. โรคหัวใจขาดเลือด 4. โรคหอบหืด รวมมูลค่ากว่า 306,636,973 บาท

ทั้งนี้ รัฐบาลขอย้ำว่า จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งการมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครองไม่ว่าจะเป็นการเสพ การนำเข้า หรือมีไว้เพื่อขายถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ดังนี้

1. ผู้นำเข้า มีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร และประกาศกระทรวงพาณิชย์ โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 5 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. ผู้ขาย – ผู้ให้บริการ มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. ผู้ครอบครอง มีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ผู้ที่เสพบุหรี่ไฟฟ้าอาจมีความผิดในข้อหาช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังไม่ได้ผ่านพิธีศุลกากรอย่างถูกต้อง ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 246 วรรคหนึ่ง และหากพบเห็นการลักลอบผลิต ขายบุหรี่/น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า สามารถแจ้งได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่ สายด่วน สคบ. 1166 เว็บไซต์ www.ocpb.go.th แอปพลิเคชัน OCPB Connect หรือศูนย์ดำรงธรรมทุกจังหวัด

สรุปข้อมูลสถิติการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้า ระหว่างปี 2566 – 2568

  • ปี 2566 ยอดรวมทั้งหมด 908 คดี
  • ปี 2567 ยอดรวมทั้งหมด 1,728 คดี
  • ปี 2568 (1 ม.ค. – 23 เม.ย. 68) ยอดรวมทั้งหมด 2,685 คดี

ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยในการเสวนาวิชาการ “บุหรี่ไฟฟ้าภัยเงียบที่คุณต้องรู้ ก่อนสุขภาพจะพัง” ว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลระยะยาวในโรงพยาบาล และจำนวนประชากรที่สูญเสีย และยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สูบป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังและเพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยโรคจิตเวช เพราะผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าจะมีภาวะวิตกกังวล หงุดหงิดง่าย ในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่แล้วจะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นได้ง่าย สอดคล้องกับผลการศึกษาการประเมินภาวะความเสี่ยงการเกิดโรคจิตเวชจากบุหรี่ไฟฟ้า ปี 2568 โดยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสเสี่ยงต่อการป่วยภาวะซึมเศร้าสูงถึง 1.58 เท่า เสี่ยงฆ่าตัวตาย 2.05 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ไม่เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้า

นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 20 หน่วยงาน เพื่อเร่งหารือมาตรการเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ครั้งที่ 3 ภายหลังจากที่ได้รับข้อสั่งการจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้ทุกหน่วยงานได้บูรณาการความร่วมมือในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ซึ่งจากสถิติที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รายงาน พบว่าสามารถจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าและดำเนินคดีได้ในปริมาณมาก แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ในการปราบปราม โดยคณะทำงานจะเดินหน้าเร่งสร้างการรับรู้ และสร้างความตระหนักถึงภัยของบุหรี่ไฟฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชน ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของแผนปฏิบัติการในการป้องกันการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า

ที่ประชุมได้กำหนดให้มีการบูรณาการแผนปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 ด้านการปราบปรามโดยการบังคับใช้กฎหมาย ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า และยุทธศาสตร์ที่ 3 การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับ “บุหรี่ไฟฟ้า” เพื่อให้ครอบคลุมทั้งระบบ รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยเตรียมยกระดับการแจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำมาใช้งานได้เร็วๆ นี้

ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์ นำผลการดำเนินงานของทุกหน่วย ยุทธศาสตร์และมาตรการมาประชาสัมพันธ์ ให้เข้าถึงประชาชนผ่านสื่อกรมประชาสัมพันธ์ ทุกช่องทางและทุกเครือข่าย โดยมีการดำเนินงาน แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่

1) ระยะเร่งด่วน เน้นสื่อสารข้อมูลข่าวสารเพื่อสนับสนุนภารกิจของหน่วยงานหลักในการปราบปรามและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า นำเสนอความรู้ด้านกฎหมายและบทลงโทษ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ช่องทางการแจ้งเบาะแสผู้กระทำความผิด สร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษา ได้รู้เท่าทันถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อป้องกันผู้สูบรายใหม่

2) ระยะสั้น สนับสนุนการประชาสัมพันธ์นโยบายสำคัญ รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานลงพื้นที่ตรวจสอบและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

3) ระยะยาว สนับสนุนการประชาสัมพันธ์เน้นที่การป้องกัน การให้ความรู้ และการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

นางสาวจิราพร ระบุว่า ทาง สคบ. ร่วมกับ DGA กำลังพัฒนาช่องทางการแจ้งเบาะแสการลักลอบนำเข้า ผลิต หรือจำหน่าย บุหรี่ไฟฟ้า โดยจะเปิดช่องทางออนไลน์ ให้ประชาชนสามารถแจ้งได้ทันที มั่นใจว่า การปราบปรามจะเห็นผลชัดเจน และสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้มากขึ้น โดยเฉพาะการลักลอบจำหน่ายให้กลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง