รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาสินค้า-ธุรกิจต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย
ภายหลังการประชุมหารือเรื่องการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน พร้อมด้วย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายพิชัย ชุณหวชิร กล่าวว่า เป็นการประชุมเพื่อติดตามประเด็นที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายเรื่องการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้าสินค้าต่างชาติ
ผิดกฎหมายที่ไม่ผ่านมาตรฐาน โดยประเด็นสำคัญที่หารือเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก แบ่งได้เป็นหลายระดับ รวมถึงสินค้าที่มีคุณภาพและไม่มีคุณภาพ และเรื่องร้านค้า โดยเฉพาะภาคบริการที่เข้ามาในรูปแบบของนอมินีว่าจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้มีแนวทางในการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่ประชุมได้รับทราบและติดตามถึงกรณีสินค้าต่างชาติผิดกฎหมายที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว มีทั้งสินค้าบางส่วนที่อยู่ในประเทศไทยเพื่อจำหน่ายต่อและบางส่วนเข้ามาแปรรูปแล้วส่งออกไปต่างประเทศ ทั้งนี้ มีการเฝ้าจับตาดูอยู่ว่าสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าไทยจริงหรือไม่
สำหรับปัญหานอมินี ปัจจุบันมีความกังวลเกี่ยวกับบริษัทที่จดทะเบียนไม่เกิน 50% ซึ่งในทางกฎหมายอนุญาตให้เกิน 50% ได้ แต่เมื่อไม่เกิน 50% จะต้องตรวจสอบดูโดยการคัดเลือกบริษัทที่ไม่เกิน 50% (ตั้งแต่ 1% – 49%) ว่าผู้ถือหุ้นตัวจริงคือใคร และใครเป็นผู้ให้เงินทุน ซึ่งจะต้องประสานความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียด นอกจากนี้ ประเด็นเกี่ยวกับชาวต่างชาติเข้าถือครองที่ดิน ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดเช่นกัน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีการถือครองที่ดินเกินกฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลตระหนักดีว่าโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงต้องมีการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นสากลมากขึ้น และสอดคล้องกับหลักการแข่งขันอย่างยุติธรรม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
ส่วนกรณีการสวมสิทธิ์สินค้าไทย จะต้องตรวจสอบโรงงาน กระบวนการผลิต รวมถึงโลโก้สินค้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin หรือ CO) ซึ่งจะออกโดยกระทรวงพาณิชย์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยจะมีการประสานความร่วมมือในการออกใบรับรองให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อยืนยันว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าของไทยอย่างแท้จริง
นายพิชัย ระบุว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินมาตรการจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติ อาทิ ปราบปรามบริษัทนอมินีและแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย ตรวจสอบการถือครองทรัพย์สิน การนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและไม่มีมาตรฐาน การสวมสิทธิ์สินค้าไทย และการขายสินค้าผิดกฎหมายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมควบคุมแอปพลิเคชันชำระเงินข้ามประเทศ ป้องกันการทุ่มตลาดจากสินค้าราคาต่ำ และตรวจสอบโรงงานต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย รวมถึงเปิดช่องทางให้ประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสผ่านแอปพลิเคชัน Traffy Fondue เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและทันสถานการณ์ต่อไป
ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึง การดำเนินการเข้มงวดกวดขันสินค้าด้อยคุณภาพที่เข้ามาในประเทศไทยว่า ขณะนี้ได้มีการดำเนินการแล้วกว่า 29,000 คดีและจะดำเนินการให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ส่วนปัญหาบริษัทต่างชาตินอมินี ได้มีการจับแล้ว จำนวน 852 บริษัท มูลค่าความเสียหาย 15,188 ล้านบาท ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญและจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องของหลักการในการควบคุมสินค้านั้น อันดับแรกต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่แล้ว และได้ดำเนินการกับสินค้าที่นำเข้าจากทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกันและเหมือนกัน โดยคำนึงถึงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สินค้าอาหารและยา รวมทั้งฉลากสินค้าบางรายการ เช่น สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นต้องมีการระบุวิธีการใช้ ดังนั้น เรื่องฉลากที่ระบุเป็นภาษาไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญ
นายพิชัย ชุณหวชิร กล่าวต่อว่า การควบคุมสินค้า จะเน้นไปที่สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้เกิดปัญหากับผู้บริโภค โดยสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจะมีลักษณะต้นทุนที่ต่ำและราคาถูก จึงมีมาตรการระยะสั้นในการนำสินค้าต่างๆ เหล่านั้นมาตรวจสอบร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หากไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมสินค้าถึงมีต้นทุนต่ำก็จะสั่งยกเลิกการจำหน่ายได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียน
ส่วนสินค้าที่จำหน่ายทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งไม่ได้ผ่านระบบปกติ จะเข้าไปตรวจสอบว่าสินค้าต่างๆ เหล่านั้น ถูกต้องตามข้อบังคับหรือไม่ หากไม่มีฉลากหรือใบรับรองมาตรฐานจะแจ้งให้เจ้าของแพลตฟอร์มถอดสินค้านั้นออกจากระบบได้ทันที โดยไม่ให้โชว์และไม่อนุญาตให้จำหน่าย ทั้งนี้ การดำเนินการมาตรการดังกล่าว จะทำให้เจ้าของแพลตฟอร์มไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลก หากต้องการมาจำหน่ายสินค้าในประเทศไทยต้องมาจดทะเบียนในประเทศไทย เพื่อทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามระบบอย่างถูกต้อง
ปรับแผนตรวจสอบ “นอมินี” ปี 2568 เน้น 6 กลุ่มเสี่ยงสูง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เป็นประจำทุกปีที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะดำเนินการตรวจสอบนิติบุคคลที่เข้าข่ายใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง หรือนอมินี โดยจากนโยบายของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญและได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว เนื่องจากกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเศรษฐกิจประเทศ รวมทั้ง ได้แต่งตั้งคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมีร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน
ในปี 2568 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ปรับแผนตรวจสอบนอมินี โดยจะเน้น 6 กลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่น่าสงสัยว่าต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยโดยให้คนไทยถือหุ้นแทน ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย ได้แก่
1) ธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก
2) ธุรกิจค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์
3) ธุรกิจ e-Commerce ขนส่ง และคลังสินค้า
4) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท
5) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร
6) ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป
รวม 46,918 ราย โดยจะมีการลงพื้นที่ร่วมกับคณะทำงานฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะรายงานผลให้คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) ซึ่งมีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ทราบความคืบหน้าเป็นระยะ
นางอรมน กล่าวว่า ในแผนการตรวจสอบนอมินีประจำปีนี้ ยังรวมถึงการตรวจสอบธุรกิจที่มีผู้แจ้งเบาะแสเข้ามายังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และธุรกิจที่เป็นกระแสข่าวในปัจจุบันว่าพบกลุ่มคนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจโดยผิดกฎหมายอาศัยนอมินีคนไทยด้วย เช่น ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์แถวพระราม 9 และ กรุงเทพกรีฑา ร้านอาหารย่านห้วยขวาง พระราม 9 และรัชดาภิเษก การตรวจสอบกรณีการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรในพื้นที่จังหวัดระยองและจันทบุรี เป็นต้น
ทั้งนี้ การปรับแผนลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจที่ต้องสงสัยหรืออาจเข้าข่ายนอมินี จะสอดคล้องและควบคู่ไปกับการทำงานของคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยจะบูรณาการการทำงานเชิงรุกร่วมกัน และเร่งดำเนินงานตามกรอบการปฏิบัติงานที่ได้กำหนดไว้ มุ่งผลสัมฤทธิ์ตามข้อสั่งการของ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยเมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วหากพบการกระทำผิดกฎหมาย หน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมลงพื้นที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายภายใต้กรอบหน้าที่และอำนาจที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างเคร่งครัด เพื่อจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษทางกฎหมายให้เห็นเป็นรูปธรรม ปกป้องผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทยจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ สร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจและประชาชนไทย ป้องปรามและปราบปรามธุรกิจต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจอย่างผิดกฎหมายในไทย ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบในวงกว้าง
ล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ร่วมกันพิจารณายกร่างกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสร็จแล้ว โดยมีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดเพิ่มเติมให้คนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในธุรกิจที่อยู่ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือคนต่างด้าวที่ยอมให้คนไทยกระทำการแทนดังกล่าว ตามมาตรา 36 (ความผิดฐานนอมินี) และกรณีที่คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 37 เป็นความผิดมูลฐาน ตามร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….เพื่อจะนำไปสู่การยึด อายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดทั้งที่เป็นคนไทยและคนต่างด้าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน เพื่อไม่ให้นำทรัพย์สินไปใช้ประโยชน์ หยุดยั้งการใช้บริษัทนอมินีและคนไทย เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน สร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของระบบธุรกิจในประเทศไทย และป้องกันการใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการกระทำความผิด การปกป้องธุรกิจของคนไทยให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมให้คนต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อสิ้นสุดการรับฟังความคิดเห็น (25 เม.ย. 68) แล้ว สำนักงาน ปปง. จะพิจารณาเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามลำดับถัดไป