รัฐมนตรีลงพื้นที่เร่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการเชื่อมโยงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เดินหน้าพัฒนาทุกมิติ

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีดำริให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามงานในทุกมิติ ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) ในวันที่ 27 – 28 เมษายน 2568 ก่อนการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 ในวันอังคารที่ 29 เมษายน 2568 ที่หอประชุมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยนครพนม จังหวัดนครพนม โดยในวันที่ 27 เมษายน 2568 มีรัฐมนตรีลงพื้นที่เพื่อติดตามการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน จำนวน 5 กระทรวง ดังนี้

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจราชการติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และการเกษตรให้กับประชาชน ในพื้นที่ ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ติดตามผลการศึกษา สำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาลในพื้นที่น้ำหายาก เพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนและสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำให้กับชาวบ้าน ต.ตองโขบ จำนวน 10 หมู่บ้าน เนื่องจาก พื้นที่ ต.ตองโขบ เป็นพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งน้ำผิวดินบางแห่งมีสภาพแห้งขอด ทั้งยังมีคุณภาพน้ำบาดาลระดับลึกเป็นน้ำเค็ม จึงไม่สามารถพัฒนาบ่อน้ำบาดาลระดับลึกได้ ประชาชนในพื้นที่จึงมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ซึ่งผลจากการเจาะสำรวจและพัฒนาน้ำบาดาลในระยะที่ 1 จำนวน 2 บ่อ พบว่า ยังมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อปริมาณน้ำที่ต้องการใช้ โดยจะดำเนินการต่อในระยะที่ 2 โครงการจัดหาแหล่งน้ำบาดาลระยะไกลเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่แล้งซ้ำซากหรือน้ำเค็ม เพื่อเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน 4 บ่อ มีจุดบริการน้ำดื่ม สถานีจ่ายน้ำถาวร และในระยะที่ 3 โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำให้ครอบคลุมทั้ง 10 หมู่บ้าน ในพื้นที่ ต.ตองโขบ ซึ่งมีระยะทางของท่อส่งน้ำกว่า 18 กิโลเมตร โดยโครงการฯ ในระยะที่ 3 จะมีการนำเสนอโครงการฯ ในวงเงินงบประมาณ 91 ล้านบาท ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 ที่จังหวัดนครพนม เมื่อแล้วเสร็จประชาชนจะได้รับประโยชน์ จำนวน 1,675 ครัวเรือน หรือ 6,764 คน และมีปริมาณน้ำใช้ได้ 219,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่ตำบลเข้มแข็ง ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยได้รับฟังสรุปผลการดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสกลนคร เพื่อทำให้ประชาชนมีความสุข ตามต้นแบบ “สกลนครโมเดล” สรุปผลการดำเนินงานโครงการบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และการแก้ไขปัญหายาเสพติด และการขยายผลพื้นที่ต้นแบบ จาก ช“ธวัชบุรีโมเดล” สู่ “สกลนครโมเดล” ที่นำมาขับเคลื่อนในพื้นที่ไข่แดง ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และรับฟังเวทีเสวนาในประเด็นการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสกลนคร การเชื่อมโยงการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือด้านพฤตินิสัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และกระบวนการแก้ไขผู้เสพยาเสพติดในกระบวนการยุติธรรม “รัตนบุรีโมเดล” เพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาและข้อเสนอแนะในพื้นที่ 

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหายาเสพติดถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสังคมไทย ซึ่งจากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า จังหวัดสกลนครเป็นจังหวัดที่มีปัญหา
ยาเสพติดเป็นอันดับต้นของประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาให้ลดน้อยลงและหมดไป นอกจากนี้ ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด องค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ จำเป็นต้องพัฒนาและเปลี่ยนเรือนจำให้เป็นสถานที่ฟื้นฟูและเป็นสถานที่พัฒนาคนให้เป็นผู้มีการศึกษา อ่านออกเขียนได้ เรือนจำต้องเป็นสถานที่ตัดวงจรอาชญากรรมและเป็นสถานที่ปลอดภัยให้กับประชาชน ปัญหายาเสพติดถือเป็นผลกระทบใหญ่ของปัญหาความมั่นคง ดังนั้น การแก้ไขปัญหายาเสพติดจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากครอบครัวและชุมชน นอกจากนี้ ยังได้พบปะและให้กำลังใจแก่ผู้ก้าวพลาดและครอบครัว

นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานและสร้างการรับรู้ การป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด และรับฟังการบรรยายให้ความรู้กับประชาชน ในหัวข้อ “การแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน” ณ ที่ว่าการอำเภอพังโคน อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร โดย พ.ต.อ.ทวี ได้กล่าวว่า ภัยที่ทำลายความเป็นมนุษย์ คือ ภัยจากยาเสพติดและภัยจากปัญหาหนี้สิน รัฐบาลมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับประชาชน ซึ่งการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำที่ดีที่สุด ต้องแก้ด้วยการศึกษาและต้องทำให้คนมีความรู้

สำหรับการขับเคลื่อนการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดในภาพรวมของจังหวัดสกลนคร โดยจังหวัดสกลนครเป็น 1 ใน 12  จังหวัด ที่นายกรัฐมนตรีได้กำหนดให้เป็นพื้นที่เป้าหมายในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ตามแนวทาง “ธวัชบุรีโมเดล” นำมาสู่การขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด ภายใต้โครงการ “ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติดเพื่อให้ประชาชนมีความสุข” (สกลนครโมเดล) โดยจังหวัดสกลนครได้เริ่มดำเนินการ Kick Off โครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ผลการ Re X-ray เป้าหมาย 484,716 คน ได้ดำเนินการไปแล้ว จำนวน 491,823 คน คิดเป็นร้อยละ 101.47 พบผู้มีสารเสพติด จำนวน 10,221 คน คิดเป็นร้อยละ 2.08 ของจำนวนผู้คัดกรอง จากประชากร ช่วงอายุ 12-65 ปี โดยแบ่งพื้นที่ดำเนินการออกเป็น 3 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ไข่แดง ไข่ขาว และกระทะ ซึ่งขณะนี้การดำเนินการกับผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด อยู่ในกระบวนการนำผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด เข้าสู่การบำบัดฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติด โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน CBTx (ชุมชนล้อมรักษ์) และมินิธัญรักษ์ เพื่อส่งต่อไปยังศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ช่วยให้มีชีวิตที่ดีขึ้นสามารถกลับคืนสู่สังคมและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านชุมชนได้ต่อไป

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ลงพื้นที่สำนักงานเทศบาลตำบลนาแก อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เพื่อเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจประชาชน และติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ในการสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ โดยมีนายชูกัน กุลวงษา สส.จังหวัดนครพนม เป็นตัวแทนของประชาชนเขต 4 จังหวัดนครพนม กล่าวถึงความต้องการของประชาชนที่อยากจะให้กระทรวง อว.เข้ามาช่วยพัฒนา ว่า นาแก เป็นอำเภอประวัติศาสตร์ มี 12 ตำบล ประชากรประมาณ 80,000 คน การพัฒนาอำเภอนาแกที่ผ่านมายังด้อยประสิทธิภาพ เพราะไม่มีงบประมาณ แต่อำเภอนาแกมีของดีมากมาย ทั้งการท่องเที่ยวในเชิงพระพุทธศาสนา การท่องเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์และร่องรอยการต่อสู้ในพื้นที่ ประชาชนอยากจะได้งบประมาณมาพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่ชื่อว่า ดานสาวคอย (ดาน ในภาษาอีสาน หมายถึง ลานดิน หรือ ลานหิน) ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณวัดภูพานอุดมธรรม บนเทือกเขาภูพาน ตำบลนาแก อำเภอนาแก เพื่อให้เป็นแลนด์มาร์ค แหล่งท่องเที่ยวใหม่ และอีกจุดหนึ่งที่ต้องการให้มีการพัฒนาคือ หุบอีเลิด ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และนิเวศวิทยา การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทั้งสองแห่ง   จะช่วยแก้ปัญหาของประชาชนให้พี่น้องชาวนาแกได้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยว การค้าการขาย นอกจากการทำนาและทำสวน

นางสาวศุภมาส กล่าวว่า กระทรวง อว. มาในวันนี้ ไม่ได้มามือเปล่า แต่มาส่งมอบผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ช่วยส่งเสริมอาชีพและช่วยแก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชนได้ อาทิ นวัตกรรมโดรนเกษตร เครื่องตรวจ มวลกระดูก ปุ๋ยอินทรีย์ลดตอซัง ผลิตภัณฑ์น้ำหมักออร์แกนิค เครื่องแปรรูปสมุนไพร และไก่สายพันธุ์ศรีโคตรบูรณ์ ขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง ของผู้แทนชุมชนและของหน่วยงานในพื้นที่ที่จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นได้ ขอให้ทุกคนมีความอดทน มีกำลังใจ และมุ่งมั่นในการเดินหน้าต่อไปด้วยกัน

นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่โรงเรียนคำเตยอุปถัมภ์ ตำบลคำเตย อำเภอเมืองนครพนม โดยมีนายแพทย์อลงกต มณีกาศ สส.จังหวัดนครพนม นำเสนอความต้องการของประชาชนในพื้นที่ว่า ปัญหาสำคัญที่สุด
ที่ต้องการให้กระทรวง อว.เข้ามาช่วย เรื่องแรก คือ ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ ทั้งในกลุ่มจังหวัดอีสาน 1 และกลุ่มจังหวัดอีสาน 2 ทั้งสองพื้นที่ไม่มีนักศึกษาแพทย์ ไม่มีโรงเรียนแพทย์ อยากให้กระทรวง อว.ผลักดันให้เกิดการตั้งคณะแพทยศาสตร์ภายในปี 2570 อยากให้กระทรวง อว. ช่วยเรื่องงานวิจัยแปรรูปสินค้าการเกษตรเพื่อเกษตรกร โดยเฉพาะลิ้นจี่ นพ1 ของดีจังหวัดนครพนม และงานวิจัยด้านอาหารสัตว์ให้กับไก่สายพันธุ์ศรีโคตรบูรณ์ เพื่อให้ต้นทุนอาหารไก่ลดลง และที่สำคัญอยากให้กระทรวง อว. มาช่วยทำเรื่องการตลาด การขายสินค้าให้กับชาวบ้าน ซึ่งมีสินค้าพื้นเมืองดีๆ มากมาย แต่ชาวบ้านยังขายไม่เป็น

นางสาวศุภมาส กล่าวว่า กระทรวง อว. จะนำงานด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ไปเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 โดยมุ่งสู่การผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรมูลค่าสูงที่สร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกับนำ อววน. ไปพัฒนาสินค้าชุมชนที่มีอัตลักษณ์ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่นปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่าสนับสนุนให้เกิดการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน สร้างโอกาสในการขับเคลื่อนมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยสินค้าชุมชน สนับสนุนการค้าในพื้นที่และระหว่างกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ที่สำคัญจะสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวในพื้นที่เชื่อมโยงเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์ ความเชื่อทางศาสนาและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่สามารถสร้างรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ให้กับประชาชนในพื้นที่ และจะช่วยผลักดันให้เกิดคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนครพนม เพื่อผลิตนักศึกษาแพทย์มาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องชาวอีสาน

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ ณ หอประชุมเทพประทาน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 54 จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งกระทรวงการคลัง มีเจตนารมณ์ในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดและตระหนักถึงนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกินให้แก่ราษฎร จึงให้กรมธนารักษ์ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง ที่มีภารกิจหน้าที่ปกครอง ดูแล บำรุงรักษาที่ราชพัสดุนำที่ราชพัสดุในความครอบครองของส่วนราชการต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในราชการมาสนับสนุนการดำเนินโครงการของรัฐบาลตามแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนของชาติที่มุ่งแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกินให้แก่ราษฎร โดยให้ประชาชนที่ถือครองที่ราชพัสดุอยู่ก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2546 และไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ เช่าที่ราชพัสดุในอัตราผ่อนปรน
ผ่านกลไกการจัดให้เช่าของกรมธนารักษ์ตามกฎหมายที่ราชพัสดุ ส่งผลให้ราษฎรที่ยินยอมเช่าที่ราชพัสดุภายใต้โครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปการ เข้าถึงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของทางราชการ สร้างรายได้ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และการสร้างความเข้มแข็งด้านสังคมให้กับราษฎร สำหรับในครั้งนี้ กรมธนารักษ์ดำเนินการมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ ได้แก่ แปลงหมายเลขทะเบียน อจ.289 ตำบลโนนหนามแท่ง อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 216 ราย เนื้อที่ประมาณ 292 – 2 – 36 ไร่ แบ่งเป็น เพื่ออยู่อาศัย จำนวน 105 ราย เนื้อที่ประมาณ 23 – 1 – 49 ไร่ และเพื่อการเกษตร จำนวน 111 ราย เนื้อที่ประมาณ 269 – 0 – 87 ไร่

สำหรับโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ “สัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน” เป็นการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวม และในปี พ.ศ. 2568 รัฐบาลมีนโยบายในการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ประชาชนภายใต้โครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายในการมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้แก่ประชาชนไม่น้อยกว่า 4,045 สัญญา ซึ่งคาดว่าจะสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้แก่ท้องถิ่นได้มากขึ้น และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรให้มีความยั่งยืนต่อไป

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมประชุมร่วมกับผู้บริหารท่าอากาศยานนครพนม อุดรธานี และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ติดตามการปรับปรุงระบบไฟฟ้า ระบบเตือนภัย และการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย รวมถึงผลักดันนโยบาย “สนามบินมีชีวิต” เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวชุมชน และยังได้ติดตามโครงการพัฒนาท่าอากาศยานในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม มุกดาหาร) ได้แก่ โครงการเสริมความแข็งแรงทางวิ่ง
ทางขับ ของท่าอากาศยานนครพนมและสกลนคร ซึ่งอยู่ระหว่างของบประมาณและโครงการศึกษาผังแม่บทและรายงาน EIA สำหรับการก่อสร้างท่าอากาศยานมุกดาหาร รวมถึงการออกแบบอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ เพื่อยกระดับการคมนาคมทางอากาศ เชื่อมโยงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ East-West Economic Corridor

นางมนพร เปิดเผยว่า ไทยไลอ้อนแอร์เตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่ ดอนเมือง–นครพนม เริ่มเที่ยวบินแรก 19 มิถุนายน 2568 ภายใต้มาตรการส่งเสริมเปิดเส้นทางบินใหม่ ลดค่าธรรมเนียม Landing-Parking 50% เป็นเวลา 3 เดือน คาดว่าจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง และยกระดับนครพนมสู่เมืองท่องเที่ยวหลักในอนาคต พร้อมได้เยี่ยมชมนิทรรศการ “โดรนเกษตรปลอดภัย” โครงการของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ที่นำเทคโนโลยีโดรนมาใช้ในภาคการเกษตร เพื่อส่งเสริมการผลิตแบบแม่นยำ ลดต้นทุนการปลูกข้าวให้ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อไร่ และเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืน ตามนโยบาย “1 ตำบล 1 โดรนการเกษตร” ของรัฐบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง