กระทรวงแรงงาน จัดใหญ่ “วันแรงงานแห่งชาติ” ณ ลานคนเมือง เดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานไทย

ประวัติวันแรงงานแห่งชาติ

วันแรงงานในประเทศไทยถูกกล่าวถึงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งตรงกับสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ในรัชสมัยรัชกาลที่ 8 และรัฐบาลได้รับรองวันที่ 1 พฤษภาคมเป็นวันกรรมกรแห่งชาติในปี พ.ศ. 2499 และได้เปลี่ยนชื่อเป็นวันแรงงานในปี พ.ศ. 2500 เนื่องจากในสมัยก่อนอุตสาหกรรมไทยได้เริ่มขยายตัวมากขึ้น ผู้ใช้แรงงานต่างมีปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งปัญหาแรงงานก็ยังมีความซับซ้อนยากที่จะแก้ไขได้โดยง่าย ทำให้ในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้เริ่มมีการจัดการบริหารแรงงาน โดยเป็นการจัดสรรและพัฒนาแรงงาน ตลอดจนคุ้มครองและดูแลสภาพการทำงานของแรงงาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างรากฐานและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างให้ดีขึ้น ซึ่งในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2499 คณะกรรมการจัดงานที่ระลึกแรงงานได้จัดประชุมขึ้น โดยมีความเห็นตรงกันว่าควรกำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ให้เป็นวันที่ระลึกถึงแรงงานไทย จึงได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้รับรองวันที่ 1 พฤษภาคม ทำให้นับแต่นั้นมา วันที่ 1 พฤษภาคม จึงกลายเป็นวันกรรมกรแห่งชาติ จนต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วันแรงงานแห่งชาติ

ในปี พ.ศ. 2500 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน ที่ได้กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิ์หยุดงานในวันแรงงานแห่งชาติได้ แต่พระราชบัญญัติฉบับนี้มีอายุได้เพียง 18 เดือนก็ถูกยกเลิกไป โดยมีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 มาแทนที่และให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดเรื่องการคุ้มครองแรงงาน อีกทั้งยังกำหนดให้วันกรรมกรเป็นวันหยุดตามประเพณี แต่เนื่องด้วยสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นมีความไม่แน่นอน จึงมีคำชี้แจงออกมาในแต่ละปีเพื่อเป็นการเตือนนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานในวันที่ 1 พฤษภาคม โดยในบางที่ได้มีการขอร้องไม่ให้มีการเฉลิมฉลองเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

จนกระทั่งมาถึงปี พ.ศ. 2517 ได้เปิดโอกาสให้มีการเฉลิมฉลองตามสมควร โดยได้มอบหมายให้กรมแรงงานที่ขณะนั้นสังกัดกระทรวงมหาดไทยจัดงานฉลองวันแรงงานแห่งชาติขึ้นที่สวนลุมพินี ภายในงานได้มีการจัดให้ทำบุญตักบาตร มีนิทรรศการแสดงความรู้ ตลอดจนกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับวันแรงงานแห่งชาติ ไม่ถือว่าเป็นวันหยุดทางราชการ ฉะนั้น หน่วยงานราชการก็ยังคงเปิดทำงานและให้บริการตามปกติ ส่วนที่มีการหยุดงานจะเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานเอกชนเท่านั้น

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ คณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2568 นำโดย นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ในการหารือแนวทางการจัดงานปีนี้ให้เป็นไปอย่างสมเกียรติและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้แรงงานมากที่สุด โดยการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 จัดอย่างยิ่งใหญ่ ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยมีพิธีเปิดสุดพิเศษ พร้อมกิจกรรมเพื่อแรงงานไทย

กิจกรรมภายในงาน 

  • ริ้วขบวนสุดยิ่งใหญ่ – ริ้วขบวนเทิดพระเกียรติ, ริ้วขบวนกระทรวงแรงงาน และ ริ้วขบวนผู้ใช้แรงงาน 24 ขบวน
  • นิทรรศการแรงงาน – จัดโดยหน่วยงานในกระทรวงแรงงาน และกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
  • การแสดงดนตรีสุดพิเศษ – สนุกสุดมันส์กับการแสดงตลอดวัน
  • การยื่นข้อเรียกร้องแรงงาน – นำเสนอ 9 ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานไทย

นายพิพัฒน์ ย้ำว่า พร้อมผลักดันให้แรงงานได้รับการสนับสนุนที่ดีที่สุด และเชิญชวนร่วมงาน ร่วมฟังข้อเรียกร้องวันแรงงาน และแนวทางแก้ปัญหาของรัฐบาล พบปะเครือข่ายแรงงานทั่วประเทศ และโอกาสพบปะหน่วยงานแรงงานที่มารับคำปรึกษาเรื่องสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานรัฐโดยตรง ในวันแรงงานแห่งชาติ 2568 ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เริ่มตั้งแต่เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป

ในวันแรงงานแห่งชาติปีนี้ ขอแสดงความขอบคุณและความชื่นชมอย่างสุดใจ ต่อแรงงานไทยกว่า 40 ล้านคน ทั้งในภาคการผลิต บริการ เกษตร และแรงงานไทยในต่างประเทศ ที่เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโต อย่างมั่นคงและยั่งยืน

รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้ยืนยันความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิต ของพี่น้องแรงงานทุกกลุ่ม โดยให้กระทรวงแรงงานเป็นหัวใจในการผลักดันนโยบายแรงงานของประเทศให้เป็นรูปธรรม

ในปีที่ผ่านมา กระทรวงแรงงาน ได้ขับเคลื่อนนโยบายหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านสร้างรายได้มั่นคง -ให้แรงงานทุกกลุ่มมีอาชีพ มีงานทำ และสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี ด้านพัฒนาทักษะอาชีพ-ให้แรงงานไทย สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานยุคใหม่ ทั้งในประเทศและเวทีโลก และด้านคุ้มครองสิทธิแรงงานอย่างเป็นธรรมโดยเฉพาะการส่งเสริมประกันสังคม และยกระดับความปลอดภัยในการทำงาน ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรแรงงาน ที่สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกันว่า “แรงงานไทยต้องมีอนาคตที่มั่งคง”

วันแรงงานแห่งชาติปีนี้ จึงไม่ใช่เพียงวันเฉลิมฉลองของผู้ใช้แรงงานแต่คือ “วันประกาศจุดยืนของประเทศ” ที่จะเดินหน้าพัฒนาคุณภาพแรงงานอย่างยั่งยืน โดยเห็นแรงงานเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาทั้งด้านสังคมและด้านเศรษฐกิจของประเทศ

ขอส่งความปรารถนาดีไปยังแรงงานทุกท่าน ขอให้ภูมิใจในคุณค่าแห่งแรงงานของตนและขอให้ทุกท่านมีพลังใจ พลังกายที่แข็งแรง เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตของประเทศไทยให้มั่นคงในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เชิญชวนผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วไป ร่วมงาน “วันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2568” ซึ่งจัดเป็นกิจกรรมประจำปีที่สำคัญของกระทรวงแรงงาน เพื่อขอบคุณแรงงานไทยที่เป็นพลังหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมเปิดโอกาสให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ บริการและโอกาสในการมีงานทำอย่างทั่วถึง

โดยปีนี้พบกับกิจกรรมพิเศษมากมาย ฟรีตลอดงาน ทั้งสมัครงานผ่านแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” กว่า 174,000 อัตรา ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (จำนวนจำกัด) ตรวจสุขภาพเบื้องต้นจากโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม  ฝึกอาชีพอิสระ – เรียนออนไลน์พร้อมรับ Certificate ตรวจสอบสิทธิประกันสังคมทุกมาตรา  ชิมอาหาร-เครื่องดื่มฟรี และเลือกซื้อสินค้าจากผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ  เล่นเกม-ตอบคำถามลุ้นของรางวัล และชมดนตรีสดจากศิลปินในงาน

นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า งานวันแรงงานแห่งชาติ ไม่ใช่แค่วันเฉลิมฉลองของแรงงาน แต่คือเวทีของโอกาสและการดูแลสิทธิให้แรงงานทุกคนอย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงแรงงานจัดกิจกรรมเต็มรูปแบบ เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงาน ได้รับประโยชน์จริง และ เข้าถึงทุกบริการได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย”

นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงข้อเรียกร้องของกลุ่มแรงงาน เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2568 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ว่า ในฐานะตัวแทนกลุ่มแรงงานได้เสนอข้อเรียกร้อง จำนวน 9 ข้อ ได้แก่ 

1. ให้รัฐบาลเร่งรัดการรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิ์ในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยเรื่องสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง 

2. ให้รัฐบาลตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หรือประกาศเป็นกฎกระทรวงให้มีการจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง เพื่อเป็นหลักประกันในการทำงานของลูกจ้าง

3. ให้รัฐบาลยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้จากเงินก้อนสุดท้ายที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้าง เมื่อพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างในทุกกรณี ทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจในวงเงิน 1 ล้านบาท

4. ให้พนักงานรัฐวิสาหกิจสามารถอยู่ในระบบประกันสังคมซึ่งเป็นระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และมีลักษณะการจ่ายเงินร่วม เพื่อให้รับการคุ้มครองทางสังคมอย่างเป็นธรรม

5. ให้รัฐบาลปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันสังคม ปรับฐานการรับเงินบำนาญ ให้มีรายรับไม่น้อยกว่า 5,000 บาท กรณี ผู้ประกันตนเกษียณอายุ และรับเงินบำนาญแล้ว เมื่อสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39ให้มีสิทธิรับเงินบำนาญต่อไป กรณีผู้ประกันตนพ้นสภาพจากมาตรา 33 และสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 การคิดคำนวณเงินบำนาญขอให้ใช้ฐานค่าจ้างจากมาตรา 33 เมื่อผู้ประกันตนรับบำนาญแล้ว ให้คงสิทธิรักษาพยาบาลตลอดชีวิต

6. ให้กระทรวงแรงงาน ดำเนินการให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างเหมาค่าแรงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ม.11/1 อย่างเคร่งครัด

7. ให้รัฐบาลยกระดับกองความปลอดภัยแรงงานเป็นกรมความปลอดภัยแรงงาน

8. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง กรณีมีข้อความตัดสิทธิลูกจ้างรายเดือนที่ทำงานล่วงเวลา ทำให้ไม่ให้ได้รับค่าล่วงเวลา 1.5 เท่า เช่นเดียวกับพนักงานรายวัน 

9. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แต่งตั้งคณะทำงานติดตามข้อเรียกร้องวันแรงงานแห่งชาติปี พ.ศ. 2568

ข่าวที่เกี่ยวข้อง