นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ประจำเดือนพฤษภาคม “สร้างโอกาสในวิกฤต สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และนักลงทุน” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกฯ สั่งการระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast ต้องพร้อมใช้งานภายในเดือนกรกฎาคมนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการรับมือแผ่นดินไหวครั้งแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาว่า ขณะนั้นอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต กำลังประชุมกับส่วนราชการจังหวัดภูเก็ตติดตามเรื่องคมนาคม ทันทีที่ทราบเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้สั่งปิดประชุม และไปเปิดประชุมด่วน เพื่อแก้ปัญหาผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว ผ่าน Zoom กับผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังไม่เคยรับมือกับสถานการณ์แผ่นดินไหวอย่างจริงจังมาก่อน เพราะฉะนั้นต้องมีการให้ความรู้ให้ข้อมูลกับพี่น้องประชาชนในการรับมือกับสถานการณ์ ขณะเกิดสถานการณ์แผ่นดินไหวก็ประสานงานติดต่อกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกรุงเทพมหานครและส่วนราชการสำคัญที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงมหาดไทยและกองทัพ พร้อมสั่งกองทัพ อำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน โดยเร่งนำประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง เรื่องอำนวยการมอบหมายให้กรุงเทพมหานครเป็นส่วนหน้าขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
วันต่อมา ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมหารือเรื่องการส่ง SMS แจ้งเตือนภัย ซึ่งวันเกิดเหตุแผ่นดินไหว SMS ไม่สามารถส่งแจ้งเตือนประชาชนได้ทั่วถึง ตอนแรกสามารถส่ง SMS ได้แค่ 1,000 หมายเลขเท่านั้น ต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง จึงส่ง SMS ได้ 100,000 หมายเลข เป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน โดยให้บูรณาการการทำงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการ กระบวนการ ออกแบบข้อความ รวมถึงข้อปฏิบัติหากเกิดแผ่นดินไหว หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ขึ้น โดยจำเป็นต้องทบทวนใหม่ทั้งหมด ทำให้ง่ายที่สุด เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด หากเกิดเหตุคับขันสามารถส่งข้อความฉุกเฉินได้ ต้องเป็นข้อความที่มีประโยชน์ ถูกต้อง และทันที ผ่าน Cell Broadcast ไปยังมือถือของประชาชนในพื้นที่ที่กำหนด ส่งครั้งเดียวสามารถกระจายไปถึงประชาชนได้ทีละหลายล้านคน โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast ต้องพร้อมใช้งานภายในเดือนกรกฎาคมนี้
เร่งสอบหาความจริงตึก สตง. ถล่ม
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มว่า ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการหาข้อเท็จจริง โดยหารือกับกรมโยธาธิการและผังเมือง ว่า จะทราบคำตอบที่แท้จริง เหตุผลที่แท้จริงของเหตุการณ์ตึกถล่มได้อย่างไร ซึ่งต้องมีการจำลองเหตุการณ์จาก 4 สถาบัน ร่วมกับ กรมโยธาธิการและผังเมือง นำข้อมูลจากการทดลองมาเปรียบเทียบเพื่อหาข้อมูลที่แท้จริงถึงสาเหตุตึก สตง. ถล่ม ซึ่งเป็นเพียงตึกเดียวที่ถล่มมีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งหมดจะต้องใช้เวลาประมาณ 90 วัน สำหรับตนเองรู้สึกว่าใช้เวลานานในการหาคำตอบ
เราเห็นเลยว่า ถ้าประเทศไทยไม่มีคำตอบเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าตรงไหนเป็นจุดที่พลาด อันนี้เรื่องใหญ่ ตึกถล่มทั้งตึก มีคนเสียชีวิตมากมาย ไม่มีคำตอบเหรอ ตัวดิฉันเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง รับไม่ได้กับเรื่องนี้ว่าจะไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ตัวดิฉันเองได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ได้กำชับกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ถ้าในกระบวนการเซ็นต่างๆ ผิดตั้งแต่การอนุมัติ การอนุญาต และการถูกออกแบบขึ้นมา ถ้าผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี ยังไม่ต้องพูดเรื่องตึกถล่มและตึกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีการตรวจสอบเช่นกัน อยากให้มีพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานที่ดีของประเทศและตึกที่สร้างใน กทม. ด้วยข้อจำกัดของกฎต้องสามารถรองรับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นได้”
จากการลงพื้นที่หลังจากเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม ญาติของผู้สูญหายชาวเมียนมา เข้ามาบอกว่า “ช่วยด้วย” เขากังวลว่าคนในครอบครัวหายไปในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศของเขา ในฐานะนายกรัฐมนตรีตนเองบอกว่ารัฐบาลจะช่วยอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นคนเมียนมาหรือคนไทย เพราะทุกคน คือ คน ต้องช่วยอย่างสุดความสามารถ โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบอยู่หน้างาน การค้นหาผู้สูญหายยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ พบจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทุกคนพยายามเคลียร์ไซต์งานให้หมด คาดว่าใกล้จะเสร็จแล้วไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ พยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ญาติผู้เสียชีวิตนำร่างกลับไปทำพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป”
“หากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอีกครั้ง ซึ่งไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้รัฐบาลได้รองรับไว้หมดแล้วว่าจะทำอย่างไร ประชาชนต้องปฏิบัติตัวอย่างไร โดยมีขั้นตอนการแจ้งเหตุ ขั้นตอนในการเอาตัวรอดรักษาชีวิต รัฐบาลเตรียมพร้อมทั้งหมด ทุกระบบถูกจัดการถูกวางแผนไว้อย่างดีและรัดกุม”
รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือ – เจรจากำแพงภาษีของสหรัฐฯ
ประเด็นเรื่องกำแพงภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้หารือร่วมกับทีมกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ และผู้เชี่ยวชาญด้านสหรัฐอเมริกา ซึ่งเริ่มพูดคุยกันตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อเตรียมรับมือกับประเด็นการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในช่วงเดือนมกราคม 2568 ก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยรายละเอียดต่างๆ เตรียมพร้อมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น สินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกหรือนำเข้าจากสหรัฐฯ ได้ตรวจสอบทั้งในส่วนของภาษีที่แต่ละฝ่ายเก็บซึ่งกันและกัน รวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการของเราได้อย่างไร เหตุผลที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เนื่องจากเมื่อคนไทยไปทำธุรกิจในสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับระบบการค้าแบบเต็มรูปแบบ เช่น หากนักลงทุนไทยได้ลงทุนสร้างโรงงานปลากระป๋องและดำเนินการผลิตแล้ว รัฐบาลสามารถเข้าไปสนับสนุนเพื่อขยายหรือต่อยอดได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ มองว่าเป็นโอกาสที่สามารถใช้ศักยภาพของคนไทยที่มีพื้นฐานอยู่แล้ว ในการขยายธุรกิจไทยในต่างประเทศ ส่วนภาคอุตสาหกรรมรัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมเรื่องข้อมูลการนำเข้า – ส่งออก และภาษีสินค้าต่างๆ อย่างรอบคอบ บางรายการพบว่าประเทศไทยเก็บภาษีจากสหรัฐฯ สูงกว่าประเทศอื่น จึงเป็นเรื่องที่ต้องเจรจาและวางแผนอย่างละเอียด รวมทั้งต้องหารือกับภาคเอกชนเพื่อให้มั่นใจว่าหากรัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนนโยบายหรือกฎระเบียบต่างๆ ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะต้องปรับตัวและดำเนินงานต่อได้อย่างเหมาะสม นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้มีการพูดคุยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น มาเลเซีย กัมพูชา เพื่อหารือถึงแนวทางความร่วมมือในระดับภูมิภาค โดยกลุ่มอาเซียนมีความพร้อมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงมีประชากรกว่า 600 ล้านคน คิดเป็นหนึ่งในสิบของประชากรโลก ซึ่งถือว่าเป็นพลังอันยิ่งใหญ่หากสามารถรวมพลังกันได้ก็จะเพิ่มอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น
รัฐบาลได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ถึงความต้องการของสหรัฐฯ โดยได้มีการเจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าทั้งสองฝ่าย บางกรณีก็ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ทันที เนื่องจากอาจกระทบการต่อรองกับประเทศอื่นๆ แต่ขอยืนยันว่ารัฐบาลมีการเตรียมพร้อม และมีแนวทางรองรับอย่างชัดเจน
ซึ่งขณะนี้การเจรจาแบบไม่เป็นทางการมีอยู่อย่างต่อเนื่องไม่เคยขาดหาย รวมถึงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย เพราะฉะนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนสบายใจได้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องเตรียมความพร้อมอย่างหนักแน่น จนถึงวันที่เราได้เจรจาต่อรอง
ความน่าเชื่อของประเทศไทยไม่ได้ลดลง
กรณี บริษัท มูดีส์ (MOODY’s Corporation) ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินได้แสดงความเห็นในรูปแบบของมุมมอง (Outlook) ต่อประเทศไทย ไม่ใช่การลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit) ทั้งสองอย่างมีความหมายที่แตกต่างกัน โดยมูดีส์ประเมินว่าโอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอาจลดลง เพราะว่ามีตัวแปรของมุมมองที่เพิ่มมากขึ้นคือ กำแพงภาษีของทรัมป์ ซึ่งการแสดงมุมมองดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลดลง ทั้งนี้ รัฐบาลจะรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว พร้อมเดินหน้าผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนที่เกิดขึ้นแล้วในหลายภาคส่วน เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (อุตสาหกรรมการผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์) และการเข้ามาของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนทั่วโลกยังคงมองว่าไทยมีศักยภาพและโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจ
Entertainment Complex ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนได้ทั้งปี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า Entertainment Complex นั้น เงินที่เข้ามาลงทุนในโครงการนี้ไม่ใช่เงินจากรัฐบาลหรือภาษีของประชาชน แต่เป็นเงินทุนจากภาคเอกชนและนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งการลงทุนเหล่านี้จะทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้เพิ่ม โดยรายได้จากภาษีจะมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นภายในโครงการ รวมถึงการใช้บริการในกาสิโนด้วย
การสร้าง Entertainment Complex รัฐบาลจะทำตามโมเดลของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ก็ได้นำรูปแบบไปปรับใช้เช่นกัน รัฐบาลไม่ต้องการให้โครงการนี้ถูกมองว่าเป็นเพียงกาสิโนเท่านั้น ต้องการพัฒนาให้เป็นพื้นที่สำหรับจัดงานอีเวนต์ สถานที่จัดคอนเสิร์ตในร่ม (Indoor) และโรงแรม เพราะปัจจุบันประเทศไทยยังขาดสถานที่จัดคอนเสิร์ตในร่มที่มีคุณภาพและสามารถรองรับผู้ชมจำนวนมากได้ สำหรับกาสิโนจะดำเนินการภายใต้มาตรฐานสากล ต้องเป็น “การพนันอย่างมีความรับผิดชอบ” (Responsible Gambling) ซึ่งจะมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ระบบตรวจสอบประวัติผู้เล่นอย่างเข้มงวด รวมถึงตรวจสอบประวัติอาชญากรรม
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ประเทศที่พัฒนาในหลายประเทศได้ปรับตัวเข้าสู่เทรนด์การสร้าง “Man-made Destination” เช่น งาน World Expo จัดขึ้นที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลังจบงานก็จะถูกพัฒนาให้กลายเป็น Entertainment Complex ในอนาคต หากประเทศไทยมีโครงการลักษณะนี้ก็จะเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในประเทศ ช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนได้ตลอดทั้งปี และการท่องเที่ยวประเทศไทยจะไม่มีคำว่า โลซีซั่น
รัฐบาลเดินหน้าโครงการ SML กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
รัฐบาลได้เปิดตัว โครงการ SML หรือโครงการสนับสนุนเสริมสร้างศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน เป็นโครงการที่กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งรัฐบาลอยากกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นแต่ละพื้นที่ต่างรู้ปัญหาของตนเองดีที่สุด ฝ่ายบริหารนั้นจะเป็นฝ่ายที่สนับสนุน ที่สำคัญคือ ท้องถิ่นต้องเป็นผู้ระบุปัญหาของตนเอง SML เป็นโครงการที่ทำให้คนในหมู่บ้านมารวมตัวกันทำประชาคม หรือที่เรียกว่าการโหวตว่าโครงการไหนที่คนในหมู่บ้านต้องการทำด้วยกัน โดยให้เสนอโครงการมา เช่น โครงการ A B C ให้คนในหมู่บ้านมาโหวตร่วมกันว่าอะไรควรจะมาก่อน
รัฐมีงบประมาณสนับสนุนให้ซึ่งขนาด SML ขึ้นอยู่กับประชากรว่ามีกี่คน จะได้รับงบประมาณ 2 แสนบาท 3 แสนบาท และ 4 แสนบาท ตามจำนวนประชากรในชุมชนนั้น สมมุติว่าได้งบประมาณ 3 แสนบาท แล้วจะทำอะไร เช่น อยากได้เครื่องอัดฟาง เพื่อทำเป็นฟางก้อน แล้วนำไปขาย โดยซื้อ 3 เครื่อง 3 แสนบาท หรือ ซื้อ 1 เครื่อง 1 แสนบาท แล้วเหลืออีก 2 แสนบาท นำไปทำอย่างอื่นในชุมชน หากทำประชาคมกันแล้วคนในหมู่บ้านเห็นตรงกันก็สามารถดำเนินการได้เลย เป็นสิ่งที่รัฐต้องการกระจายอำนาจสู่ชุมชนจริงๆ ให้ประชาชนได้คิดกันจริงๆ ว่าหมู่บ้านของเราต้องการอะไร หรือจะนำงบประมาณไปใช้ในเรื่องอุปโภคบริโภค สาธารณูปโภคก็ได้ เช่น หมู่บ้านควรมีน้ำสะอาด ขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันเสนอโครงการผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
โครงการ ODOS 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา
สำหรับโครงการ ODOS (One District One Scholarship) 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการสลากการกุศล เพื่อสนับสนุนโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ วงเงิน 5,308.14 ล้านบาท โดย ODOS Summer camp เป็นโครงการที่เพิ่มศักยภาพให้กับเด็ก เยาวชนนักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้เปิดโลกทัศน์ ได้รับการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นการกระจายโอกาสให้กับน้องๆ เพิ่มมากขึ้น โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักเรียนที่สอบได้ที่ 1 ก็สามารถไปศึกษาที่ต่างประเทศในระยะสั้นได้
ขอให้โหลดแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และรีบสมัคร เพราะใกล้ปิดรับสมัครแล้วในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 อยากให้น้องๆ มาสมัคร จะได้มีโอกาสหาประสบการณ์ใหม่ๆ เปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับตัวเอง ที่สำคัญ ODOS Summer camp ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น รัฐบาลจะจ่ายค่าเดินทาง ค่าที่อยู่อาศัย ค่าอาหาร ทุกอย่างครบ เราไปแต่ตัวพร้อมกับใจที่เปิดกว้าง ไปดูว่าแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ทำให้น้องๆ มีแรงบันดาลใจ และสามารถกลับมาพัฒนาประเทศได้ต่อไป