ครม. เคาะปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทน ม.33 กรณีว่างงาน จากเหตุถูกเลิกจ้าง จากอัตราร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 60 เพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ

คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน (ฉบับที่…) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 

สาระสำคัญ กระทรวงแรงงาน เสนอว่า

1. ปัจจุบันลูกจ้างที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เพราะถูกเลิกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทนในกรณีว่างงานตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. 2547 ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวันซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเพื่อบรรเทาภาระการดำรงชีพของผู้ประกันตนจากสภาพเศรษฐกิจ
ในปัจจุบัน
จึงเห็นสมควรปรับเพิ่มให้ผู้ประกันตนได้รับเงินทดแทนในกรณีว่างงานในอัตราที่สูงขึ้น ทั้งนี้
โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม

2. ในคราวประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและปรับปรุง พัฒนาเกี่ยวกับขอบข่ายความคุ้มครองประกันสังคม การจัดเก็บเงินสมทบและการพัฒนาสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคม ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 
ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทน
ในกรณีว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้าง โดยให้ลูกจ้าง
มีสิทธิได้รับเงินทดแทนในอัตราร้อยละ
 60 ของค่าจ้างรายวัน และให้ได้รับครั้งละไม่เกิน 180 วัน เพื่อเสนอคณะกรรมการประกันสังคมพิจารณา

3. ต่อมาในคราวประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (ชุดที่ 14) ครั้งที่ 18/2567 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้าง ในอัตราดังกล่าวตามข้อ 2 ทั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงาน เห็นชอบการแก้ไขร่างกฎกระทรวงดังกล่าวด้วยแล้ว

4. กระทรวงแรงงาน จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงนี้ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. 2567 โดยปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้าง จากอัตรา “ร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวันสำหรับการว่างงาน เพราะเหตุถูกเลิกจ้างฯ”เป็น “ร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายวันสำหรับการว่างงาน
เพราะถูกเลิกจ้างฯ
” ทั้งนี้ ให้ได้รับครั้งละไม่เกิน 180 วันเช่นเดิม

5. การปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน เพราะเหตุถูกเลิกจ้างตามร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. 2561 แล้ว โดยประมาณการรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราเงินทดแทนดังกล่าว ประมาณ 1,035.40 ล้านบาทต่อปี (แต่ละปีจะเพิ่มขึ้นตามร้อยละของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการจ่ายเงินทดแทนคิดจากเงินเดือนหรือค่าจ้าง) อย่างไรก็ดี จากข้อมูลการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ประกันภัย การปรับเพิ่มเงินทดแทนดังกล่าวจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มจากร้อยละ 0.53 ของค่าจ้าง เป็นร้อยละ 0.62 ของค่าจ้าง ซึ่งยังคงน้อยกว่าเงินสมทบที่จัดเก็บ รวมถึงกองทุนประกันสังคมยังสามารถรองรับวิกฤตสถานการณ์ว่างงานสูงกว่าปกติ 4 เท่า เป็นระยะเวลามากกว่า 3 ปี 6 เดือน ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อสถานะของกองทุนประกันสังคม

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเกิดสิทธิกรณีว่างงาน 

1. จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงานกับนายจ้างรายสุดท้าย หรือกรณีผู้ประกันตนว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย

2. มีระยะเวลาการว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป

3. ผู้ประกันตนต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (เว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th/)ของสำนักงานจัดหางานของรัฐภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ลาออกหรือถูกเลิกจ้าง หรือสิ้นสุดสัญญาจ้างจึงจะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานนับแต่วันที่ 8 ของการว่างงาน

4. ต้องรายงานตัวตามกำหนดนัดผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (เว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th/) ของ

สำนักงานจัดหางานไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง

5. เป็นผู้มีความสามารถในการทำงาน และพร้อมที่จะทำงานที่เหมาะสมตามที่จัดให้

6. ต้องไม่ปฏิเสธการฝึกงาน

7. ผู้ที่ว่างงานต้องไม่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากกรณี ดังนี้

  • ทุจริตต่อหน้าที่กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
  • จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
  • ฝ่าฝืนข้อบังคับ หรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายในกรณี ร้ายแรง
  • ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันควร
  • ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
  • ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา
  • ต้องมิใช่ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ

ย้ำกองทุนฯ มีเสถียรภาพมั่นคง พร้อมต่อยอดดูแลผู้ประกันตนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยถึงสถานะความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมว่า ในปัจจุบันกองทุนมีรายรับจากเงินสมทบ 3 ฝ่าย ประมาณปีละ 2.2 แสนล้านบาท และจ่ายสิทธิประโยชน์ 7 กรณี ปีละประมาณ 1.35 แสนล้านบาท แม้การจ่ายสิทธิประโยชน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง แต่ถือได้ว่าสถานะกองทุนในปัจจุบันยังคงมีเสถียรภาพ แม้ตลอดระยะเวลา 34 ปี ที่ได้ก่อตั้งกองทุนประกันสังคม ได้มีการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่องกว่า 97 ครั้ง โดยไม่เพิ่มอัตราเงินสมทบหรือปรับเพิ่มเพดานค่าจ้าง มีการพัฒนาช่องทางการให้บริการทำให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น 

 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยจะมีผู้สูงวัยที่ไม่อยู่ในวัยทำงานคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากร ทำให้กองทุนมีสถานะสมดุล กล่าวคือเงินสมทบเท่ากับรายจ่าย และหากไม่มีมาตรการใดๆ มารองรับจะส่งผลกระทบต่อกองทุนอย่างมีนัยสำคัญ สำนักงานประกันสังคมจึงดำเนินการร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศเสนอแนะแนวทางการปฏิรูประบบบำนาญอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับกองทุนประกันสังคม รวมทั้งร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการกำหนดนโยบายสร้างความยั่งยืนให้กองทุนและวางแผนบริหารการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในไตรมาสที่ 1 (มกราคม – มีนาคม) ของปี 2568 กองทุนประกันสังคมมีเงินลงทุนสะสม จำนวน 2.7 ล้านล้านบาท ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นเงินกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท จากการปรับสัดส่วนการลงทุน โดยเน้นลงทุนหลักทรัพย์ความเสี่ยงต่ำเพิ่มขึ้นตามแผนยุทธศาสตร์การลงทุนที่คณะกรรมการประกันสังคมให้ความเห็นชอบ การลงทุนอย่างรอบคอบทำให้กองทุนประกันสังคมมีความมั่นคง สร้างผลตอบแทนระยะยาวเพื่อการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตน

นางมารศรี ระบุว่า ขอเน้นย้ำว่า สำนักงานประกันสังคม พร้อมดำเนินการทุกวิธีในการเสริมสร้างเสถียรภาพกองทุนให้สามารถดูแลสิทธิประโยชน์ให้แก่พี่น้องผู้ประกันตนมีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมหลักประกันทางสังคมที่มั่นคงตลอดไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง