นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับฟังสรุปผลการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามมาตรการ Seal Stop Safe ของรัฐบาลในรอบ 2 เดือน (เมษายน – พฤษภาคม 2568) โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)
นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลการปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และเยี่ยมชมจุดตรวจของกลาง พร้อมรับฟังรายงานสรุปผลการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามมาตรการ Seal Stop Safe ของรัฐบาล และรับชมวีดิทัศน์สรุปผลการปฏิบัติงาน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนสำหรับความร่วมมืออันดีตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา พร้อมกล่าวมอบนโยบายว่า นับตั้งแต่ได้ดำเนินมาตรการ Seal Stop Safe ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 3 เดือนครึ่ง เห็นได้ชัดว่าความร่วมมือจากทุกฝ่าย และการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ ได้นำไปสู่ผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน อย่างที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถึงการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นในยุครัฐบาลไทยรักไทยจนสามารถควบคุมการผลิตภายในประเทศได้สำเร็จ ซึ่งในปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป การผลิตยาเสพติดได้ย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศมากขึ้น และมีกำลังการผลิตที่สูงขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้การลักลอบนำเข้ายาเสพติดมีความซับซ้อนและขยายวงกว้างมากขึ้น แต่การจับกุมในช่วงหลังนี้มีความต่อเนื่องมากขึ้น ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมมือกันจนสามารถจับกุม ยึดยาเสพติดได้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลจะเดินหน้าดำเนินการปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาและก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยาเสพติดถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เป็นภัยร้ายที่ทำลายลูกหลานของเรา ทำลายครอบครัว ก่อให้เกิดความสูญเสียในบางครอบครัว อย่างไรก็ตามประชาชนต้องเปิดใจและให้โอกาสกับผู้ที่พร้อมจะกลับตัวกลับใจ เพราะทุกคนสมควรได้รับโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ สำหรับรัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนแผนการฟื้นฟู และนำพาผู้ที่เคยหลงผิดกลับคืนสู่สังคมอย่างมีศักดิ์ศรี
นายกรัฐมนตรี ยังขอบคุณผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างทุ่มเท ทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ด้วยการวางแผนและดำเนินการอย่างเข้มงวดและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ขอให้ประชาชนทุกคนร่วมเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคนมีความเข้มแข็ง และเดินหน้าทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างมั่นคงต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนการดำเนินงานในทุกมิติ ทั้งด้านเทคโนโลยี งบประมาณ และมาตรการทางกฎหมาย เพื่อให้การปราบปรามยาเสพติดบรรลุเป้าหมายอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
สำหรับตลอดระยะเวลา 2 เดือน ที่ผ่านมา (1 เม.ย. – ปัจจุบัน) หลังจากการเปิดปฏิบัติการ Seal Stop Safe กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้เดินหน้าปิดล้อม บุกจับ ขยายผลยึดทรัพย์ เครือข่ายรายสำคัญ
ได้กว่า 31 คดี ผู้ต้องหา 34 คน ยึดยาบ้า 29.93 ล้านเม็ด เฮโรอีน 126 กิโลกรัม ไอซ์และคีตามีน 4,443 กิโลกรัม ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,900 ล้านบาท ยุทธการเชิงรุกในการสกัดกั้นและขยายผลการปราบปรามยาเสพติดในครั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้
1. สกัดกั้นจากชายแดนภาคเหนือ 10 คดี ผู้ต้องหา 17 คน ของกลาง ยาบ้ากว่า 29.93 ล้านเม็ด เฮโรอีน 70 กิโลกรัม ไอซ์และคีตามีน 2,476 กิโลกรัม
2. สกัดกั้นจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 คดี ผู้ต้องหา 8 คน ของกลาง ไอซ์ 697 กิโลกรัม
3. สกัดกั้นในพื้นที่ภาคใต้ไม่ให้ผ่านไปยังประเทศที่สาม 4 คดี ผู้ต้องหา 9 คน ของกลาง ไอซ์ 1,132 กิโลกรัม
4. สกัดกั้นลักลอบลำเลียงยาเสพติด ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ปลายทาง ได้แก่ ออสเตรเลีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และกินี ตามโครงการ AITF 15 คดี ของกลาง ไอซ์ 137.68 กิโลกรัม และ เฮโรอีน 57.26 กิโลกรัม
ทางด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลเปิดปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เพิ่มความเข้มในการสกัดกั้นจับกุมในพื้นที่ชายแดน โดยให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการบุกทะลวงเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดรายสำคัญแบบไม่ให้ตั้งตัว เข้าถึงเป้าหมายอย่างเฉียบขาด ทลายจุดพักยาและเส้นทางลำเลียงอย่างเด็ดขาด พร้อมยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรู บ้านพักหรู เงินสด ทองรูปพรรณ หรือทรัพย์สินที่ซุกซ่อนในรูปแบบซับซ้อน ทุกชิ้นถูกกวาดล้างอย่างไม่ปรานีและไม่มีหลุดรอดแม้แต่รายการเดียว ปฏิบัติการนี้สอดรับนโยบายอย่างเข้มข้นและที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ “จับคนผิด” แต่ไล่ล่าทุกเส้นทางการเงิน ขยายผลถึงทรัพย์สิน ดำเนินการยึด อายัด และฟ้องร้องตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ไม่มีละเว้น ไม่มียกเว้น ทำให้มีผลการจับกุมและยึดทรัพย์สิน “เพิ่มขึ้นทุกมิติ” เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และผลการปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (7 เดือน)
ปิดล้อมตรวจค้น 25,745 เป้าหมาย 6,549 เครือข่าย จับกุมผู้ค้ารายย่อย 34,563 คน ยึดยาบ้า 152 ล้านเม็ด ไอซ์ 13,335 กิโลกรัม อาวุธปืน 1,798 กระบอก ระเบิด 4 ลูก และยึดทรัพย์สิน 2,795 ล้านบาท
จับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดทุกข้อหาทั่วประเทศ 158,832 คดี ผู้ต้องหา 157,881 คน จับกุมตามหมายจับ 3,899 คน ดำเนินคดีข้อหาสมคบ สนับสนุน 2,338 คดีข้อหาฟอกเงิน 181 คดี ของกลางยาเสพติด ยาบ้า 645.93 ล้านเม็ด ไอซ์ 34,223 กิโลกรัม เฮโรอีน 938 กิโลกรัม คีตามีน 4,471 กิโลกรัม และยาอี 271,329 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 8,064 ล้านบาท พร้อมทั้งได้สั่งการให้ขยายผลถึงระดับเครือข่ายและผู้สั่งการ ถือเป็นสัญญาณเตือนแรงถึงกลุ่มค้ายาที่ยังเหลืออยู่ว่า “ไม่มีที่ยืนในแผ่นดินไทย”
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหายาเสพติดได้ โดยหากพบเบาะแส สามารถแจ้งได้ที่ สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง