รัฐบาล ออกแถลงการณ์ย้ำ พร้อมใช้กลไก JBC แก้ปัญหาไทย-กัมพูชา

รัฐบาลออกแถลงการณ์กรณี ไทย-กัมพูชา ยืนยันเร่งแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เพื่อประเทศไทยและประชาคมอาเซียน

ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์กรณีดังกล่าวดังต่อไปนี้

แถลงการณ์รัฐบาล “กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา” รัฐบาลขอยืนยันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและคุ้มครองบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างเต็มที่โดยยึดหลักการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม 

โดยจุดเริ่มต้นของสถานการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ในขณะที่กองกำลังฝ่ายไทยลาดตระเวนตามปกติในพื้นที่ฝ่ายไทยซึ่งเป็นแนวที่ถือปฏิบัติเสมอมา แต่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์จากการปะทะดังกล่าวทำให้กองกำลังไทยจำเป็นต้องป้องกันตัว และปกป้องพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

ภายหลังจากเกิดเหตุรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างใกล้ชิดในทุกระดับรวมถึงนายกรัฐมนตรี ของทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยกันด้วยความห่วงใยในสถานการณ์  ผลจากการพูดคุยรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะร่วมมือกันทำให้สถานการณ์กลับสู่ปกติและไม่ลุกลามบานปลาย และเห็นพ้องที่จะใช้กลไกทวิภาคีต่างๆ ที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งหนึ่งในกลไกนั้น คือ กลไก JBC (Joint Border Commission) ตามที่ ผู้บัญชาการทหารบก
ของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

ส่วนประเด็น เกี่ยวกับท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ที่อาจประสงค์จะใช้กลไกทางศาลหรือฝ่ายที่สามมาพิจารณาเรื่องนี้นั้น ขอเรียนว่าประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธีบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงต่างๆ เช่น MOU 2543 และข้อมูลหลักฐานต่างๆ รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม และไทยพร้อมที่จะเจรจากับฝ่ายกัมพูชาผ่านกลไกระดับทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกัน เช่น

JBC (การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม) ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU 2543 เพื่อหารือเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี ซึ่งขณะนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบรับตามคำขอ ของฝ่ายไทยที่จะจัดขึ้น (ในวาระที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ) ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชา

GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา) ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ RBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค) ซึ่งเป็นกลไกระดับแม่ทัพภาค ซึ่งทั้ง GBC และ RBC มีหน้าที่หลักในการดูแลสถานการณ์ชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อย นอกจากนี้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันที่จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

รัฐบาลขอยืนยันว่า ปัจจุบันสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทั่วไป มีความสงบเรียบร้อย รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ตามขั้นตอนในการปกป้องอธิปไตยของไทย และรักษาสิทธิทางกฎหมายของไทยอย่างครบถ้วน และเชื่อมั่นว่า ไทยและกัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดน รวมถึงความเป็นครอบครัวของ “อาเซียน” ด้วยกัน

แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2568 มีใจความสำคัญ ระบุถึงแนวนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสร้างสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ แล้วหาทางออกข้อพิพาทด้วยสันติวิธี แต่เมื่อเกิดเหตุปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในพื้นที่ที่ยอมรับกันว่าเป็นที่มั่นทหารของกัมพูชา ทำให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย รัฐบาลกัมพูชาจึงได้ยื่นประท้วงการใช้กำลังโดยไร้สาเหตุ ที่ละเมิดอธิปไตย บูรณภาพเหนือดินแดน และหลักการของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ดังนั้น รัฐบาลกัมพูชาจึงตัดสินใจที่จะนำเรื่องข้อพิพาทเหนือดินแดน 4 พื้นที่ คือ พื้นที่มุมไบ (“สามเหลี่ยมมรกต” ซึ่งกัมพูชาเรียกว่า “มุมไบ” รอยต่อสามแผ่นดิน ไทย-ลาว-กัมพูชา) – ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาเมือนโต๊ด-ปราสาทตาควาย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชายึดมั่นในการเจรจาและการทูต โดยจะร่วมในกรอบทวิภาคีต่างๆ และจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC วันที่ 14 มิถุนายนนี้ ที่กรุงพนมเปญ แต่จะไม่มีการบรรจุพื้นที่ 4 จุดดังกล่าวในวาระการประชุม กัมพูชาหวังด้วยว่า ไทยจะร่วมมือในการส่งเรื่องไปยังศาลโลก เพื่อเห็นแก่ความยุติธรรม การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ มิตรภาพระยะยาว และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน
แต่หากไทยไม่ร่วมมือด้วย กัมพูชาก็พร้อมจะเดินหน้าด้วยตัวเอง

ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่บริเวณชายแดนไทย -กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น เวลา 17.00 น. รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์กรณีดังกล่าว เป็นฉบับที่ 2 ดังนี้

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทั้งสองฝ่ายได้หารือและตกลงกันที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Commission: JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย กัมพูชา ซึ่งเป็นผลมาจากการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568

ทั้งนี้ ตามที่ กัมพูชา แสดงความตั้งใจที่จะใช้กลไกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) นั้น

ประเทศไทย ประกาศไม่ยอมรับในเขตอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน โดยทั้งสองฝ่ายมีกลไกทวิภาคีในการจัดการประเด็นปัญหาชายแดนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรก สิ่งที่สำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาในบริเวณที่มีการกระทบกระทั่งกันเท่านั้น ไม่ขยายประเด็นปัญหาออกไป ซึ่งจะสร้างความซับซ้อนของปัญหามากขึ้น

ประเทศไทยไม่ต้องการเห็นฝ่ายใดได้รับความสูญเสียใดๆ และประเทศไทย กัมพูชา มีกลไกเรื่องเขตแดนอยู่แล้ว ซึ่งกลไกดังกล่าวโดยเฉพาะการทำงานของ JBC ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา ก็มีความคืบหน้าในหลายพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด ดังเช่นในกรณีของสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน ตำบทท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว – และบ้าน สตึงบท ตำบลปอยเปต อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย) และการก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่ ไทย กัมพูชา ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี กับบ้านปรม จังหวัดไพลิน กัมพูชา

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นี้และหวังว่า ฝ่ายกัมพูชาจะแสดงถึงความปรารถนาเช่นเดียวกันในการร่วมมือกับไทยในลักษณะที่สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมกันของเราในสันติภาพ เสถียรภาพ และการเคารพซึ่งกันและกัน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่ามีข้อมูลข่าวสารที่ออกมาบางส่วนมีการบิดเบือน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง เช่น มีการขุดระเบิดแล้วมาวางไว้ แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยัน เรื่องนี้ไม่เคยมีทุ่นระเบิดมารุกล้ำ ซึ่งเป็นภาพเก่าทางฝั่งขวาของปราสาทพระวิหาร ซึ่งทางการไทยก็พยายามตรวจค้น และดำเนินการจับกุมอยู่แล้ว ดังนั้นกระแสข่าวที่บอกว่ามีการบุกเข้ามาแล้วมีการวางทุ่นระเบิด ขณะที่ประเทศไทยยังไม่ดำเนินการใดๆ ถือเป็นการสร้างความสับสนและทำลายศรัทธาความร่วมมือของประชาชน ซึ่งไม่เป็นผลดี ส่วนการรุกล้ำ 200 เมตร อยู่ที่คณะกรรมการ JBC ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ชายแดนกำหนดแต่ละฝ่ายมีจุดที่ทับซ้อนกัน ดังนั้นจึงกำหนดให้เป็น NO MAN LAND (พื้นที่ที่ไม่ปักปันเขตแดน) ซึ่งกัมพูชาคิดว่าเป็นจุดของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นการละเมิดข้อตกลงของ JBC ข้อ 5 ซึ่งไทยก็มีข้อมูลหลายอย่าง อย่างไรก็ตามถือว่าไทยได้เริ่มต้นจากจุดสันติวิธี และเชื่อว่า JBC จะมีคำตอบได้ หากกัมพูชาไม่ยอมรับในประเด็นปัญหานี้ ดังนั้นต้องรอข้อสรุปทั้งหมดจากการประชุม JBC วันที่ 14 มิถุนายนนี้ ที่กรุงพนมเปญ ถือเป็นกลไกระหว่างประเทศที่ไทยทำกับชายแดนทุกภาคส่วน ที่จะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ

นายภูมิธรรม กล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาออกแถลงการณ์ จะไม่นำเรื่องข้อพิพาทพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาพูดคุยในการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม หรือ JBC ว่าต้องอ่านข้อมูลให้ครบถ้วน เพราะในแถลงการณ์ได้ระบุว่า 4 ปราสาทจะไม่นำมาคุยในการประชุม ซึ่งไม่ได้มีเรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้นการนำเสนอข่าวเช่นนี้ต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนส่งต่อ และได้พูดชัดเจนแล้วว่า จะพูดคุยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่เพียงอย่างเดียวที่เป็นปัญหาคู่ขัดแย้ง ส่วนเรื่องศาลโลกได้ชี้แจงไปแล้วว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ส่วนกัมพูชาจะนำเรื่อง 4 ปราสาทไปเข้าศาลโลก ถือเป็นเรื่องของกัมพูชา ไทยไม่สามารถห้ามได้ จึงยืนยันว่าการประชุม JBC วันที่ 14 มิถุนายนนี้ยังเหมือนเดิม จะพูดคุยจุดที่ขัดแย้งบริเวณจุดต้นสัตบรรณกับพื้นที่ที่เกิดปัญหายิงกัน ส่วนในแถลงการณ์ของกัมพูชา ที่ระบุว่าจะไม่มีการหารือบริเวณช่องบกกับไทย ซึ่งเป็นจุดที่ปะทะ ยืนยันว่าไม่จริง เพราะช่วงที่พูดคุยคือจุดที่ปะทะกันและเป็นปัญหา คงต้องไปดูว่าอยู่จุดใด โดยไทยจะไม่ขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆ

จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์แนวชายแดน ไทย- กัมพูชา ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ไม่มีอะไรกังวล แต่ละฝ่ายได้ตรึงกำลังและทำหน้าที่ของตนเอง ขณะเดียวกัน แม่ทัพภาคที่ 2 รวมถึง ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้รายงานว่าทหารมีความพร้อมปกป้องอธิปไตย และยังไม่จำเป็นต้องยกระดับ  

นายภูมิธรรม ยอมรับว่า ได้พูดคุยกับ พลเอก เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ยืนยันจุดยืนของไทยและอยากขอร้องให้ฝ่ายทหารทบทวน ซึ่งมีกระบวนการอยู่ ยืนยันมาตรการที่ดำเนินการขณะนี้ไม่ใช่มาตรการตั้งรับ เป็นมาตรการแสวงหาข้อยุติอย่างสันติ ใช้การพูดคุยกับทุกฝ่ายเพื่อสรุปว่าจะต้องเพิ่มมาตรการ หรือไทยจะได้ประโยชน์อย่างไร

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า จากการเข้าร่วมประชุมเตรียมการด้านต่างๆ กับผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับชายแดนไทย กัมพูชา พื้นฐานและเป้าหมายการหารือครั้งนี้คือการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มที่ ซึ่งมีความสำคัญสูงสุดกับกระทรวงการต่างประเทศ ในการหารือกันได้ย้ำถึงเป้าหมายที่มีความสำคัญเช่นเดียวกัน คือการมุ่งหาทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ และที่สำคัญควรใช้กลไกทวิภาคีต่างๆ ที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หนึ่งในกลไกนั้นที่ได้ชี้แจงไปแล้วในหลายโอกาส คือการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม JBC GBC และ RBC สำหรับกลไก JBC เป็นกลไกทางเทคนิคเพื่อการหารือและการสำรวจหลักเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ล่าสุดฝ่ายกัมพูชาได้กำหนดจัดการประชุมนี้ขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชา โดยได้เตรียมการประชุม JBC ของฝ่ายไทย ดังนี้

1. เราจะใช้ประโยชน์จากกลไก JBC อย่างเต็มที่ควบคู่ไปกับกลไก GBC และ RBC โดยกลไก JBC ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพที่ผ่านมาในช่วงเวลา 26 ปี และได้แก้ไขปัญหาสำเร็จแล้วในหลายพื้นที่

2. เราจะใช้กลไกการประชุมกับฝ่ายกัมพูชา ด้วยความสุจริตใจ

3. เราหวังว่า การประชุมดังกล่าวจะช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์ได้อย่างเร็วเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งชาวไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนให้ได้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน

ทั้งนี้ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและจะคงการหารืออย่างใกล้ชิดกับฝ่ายกัมพูชาในทุกระดับเพื่อสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ในฐานะครอบครัวสมาชิกอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะในโอกาสที่ไทยและกัมพูชาครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ และขอใช้โอกาสนี้ฝากสื่อมวลชนในการรายงานข่าวให้ช่วยติดตามและหลีกเลี่ยงการขยายข่าวที่อาจเป็นการปลุกระดม หรือเป็นการกล่าวหาอีกฝ่าย โดยยังไม่มีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่ชัดเจน เช่น กรณีพบทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนตามที่เป็นข่าวนั้นในชั้นนี้เราจำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนและขอความร่วมมือประชาชนไม่คาดการณ์ไปเองเพื่อลดการสร้างประเด็นที่อาจเป็นความขัดแย้งเพิ่มเติม ขอให้มั่นใจว่าประเด็นทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในการติดตามตรวจสอบโดยละเอียดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอข่าวจากสื่อมวลชนหลายรายว่า กัมพูชาไม่ร่วม JBC กับไทย ซึ่งย้ำว่าไม่เป็นความจริงจึงขอให้ระมัดระวังทั้งการนำเสนอข่าวและการพาดหัวข่าวที่อาจคลาดเคลื่อน

สำหรับกรณีรุกล้ำพื้นที่ 200 เมตร NO MAN LAND (พื้นที่ที่ไม่ปักปันเขตแดน) อยู่ระหว่างการใช้กลไก  JBC จัดการปัญหา ซึ่งเป็นจุดทับซ้อนที่เราได้กำหนดร่วมกัน ยอมรับว่ามีการล้ำเข้ามาในจุดดังกล่าวแต่ไม่ใช่จุดที่เกินเข้ามาในเขตแดนซึ่งละเมิดข้อตกลง JBC ข้อ 5 แต่ยังไม่ใช่การบุกรุกแผ่นดินไทย

นายนิกรเดช กล่าวด้วยว่า ความหวังของไทยคือจะหาข้อสรุปได้ในกลไกทวิภาคี และเชื่อว่ากัมพูชาจะมีเจตนารมณ์เช่นเดียวกับไทยในการหาข้อสรุป เรากำลังจะเจรจาบนท่าทีที่หวังดีต่อกันเมื่อเกิดการเจรจาแล้วจะหาข้อสรุปได้ ทั้งนี้ยืนยันว่ากลไก JBC จะเกิดขึ้นจริงแต่จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเจรจา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง