นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
(7 มิ.ย. 68) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ได้หารือร่วมกับ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน ณ พื้นที่อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
ภายหลังจากการหารือ มีข้อมูลบางประการที่เผยแพร่สู่สาธารณะ ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนจากเนื้อหาที่ได้หารือกันในที่ประชุม เป็นที่น่าเสียดายที่ข้อเสนอที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่การลดการเผชิญหน้าและสันติภาพถูกปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้น กลับมีการเพิ่มกำลังทางการทหารที่ยิ่งเพิ่มความตึงเครียด ทั้งนี้ ทางเราเองจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการและเสริมกำลังด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำจุดยืน ตามที่ได้หารือกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ดังนี้
1. ไทยจะไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตย ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น และพร้อมปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างสุดกำลัง
2. ขอยืนยันสนับสนุนกองทัพให้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลัง และให้กำลังใจแก่กำลังพลทุกนาย ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องผืนแผ่นดินไทย ขอย้ำว่า ทุกการดำเนินการของฝ่ายไทยจะคำนึงถึง ชีวิต ความปลอดภัย ความสงบสุขของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดน และกำลังพลที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละเป็นสำคัญ
3. รัฐบาลไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 และยืนยันการใช้กระบวนการเจรจาแบบทวิภาคีตาม MOU 2543 ซึ่งทั้งสองฝ่ายเคยเห็นพ้องร่วมกัน และยืนยันให้การประชุม JBC เป็นเวทีเพื่อหาทางออกโดยสันติวิธีอย่างเร็วที่สุด
4. ไทยเน้นย้ำจุดยืนเดิม ที่ขอให้มีการปรับกำลังในพื้นที่ของทั้งสองฝ่ายให้กลับสู่ที่ตั้งเดิมตามการปฏิบัติ ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อลดเงื่อนไขการยกระดับความตึงเครียดและการเผชิญหน้า
สุดท้ายนี้ ขอยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของใครก็ตามที่รุกล้ำอธิปไตยของไทย โดยรัฐบาลและกองทัพพร้อมจะปกป้องและรักษาอธิปไตยของประเทศอย่างถึงที่สุด
ทบ.ออกคำสั่งมอบอำนาจ ผบ.กองกำลังบูรพา และ ผบ.กองกำลังสุรนารี ควบคุมจุดผ่านแดนแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ตามมติ สมช.
(7 มิ.ย. 68) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงนามในคำสั่งกำหนดอำนาจให้ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี
มีอำนาจในการควบคุมการเปิด–ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยสามารถพิจารณากำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่จำเป็น ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตามลำดับขั้นความเข้มงวดในแต่ละพื้นที่
การดำเนินการดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ซึ่งมอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยหลักในการควบคุมการเปิด–ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภท เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามข้อกำหนดของกองทัพบกอย่างเคร่งครัด
การออกมาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับสถานการณ์ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายกัมพูชารุกล้ำชายแดนไทยหลายครั้ง พร้อมแสดงท่าทียั่วยุอย่างเปิดเผย แม้ไทยจะใช้สันติวิธีและพยายามเจรจา แต่กัมพูชายังเสริมกำลังและจัดตั้งฐานทหารใกล้ชายแดน แสดงถึงความไม่ร่วมมือและเป็นภัยต่ออธิปไตยและความมั่นคงของไทย ทำให้ไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาผลประโยชน์และความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามแนวชายแดน
สำหรับรายละเอียดทั้งหมดในคำสั่งดังกล่าวสามารถติดตามได้ผ่านช่องทางการสื่อสารทางการของกองทัพบกที่เว็บไซต์ www.rta.mi.th เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากทางราชการ
กองทัพบกชี้แจงแนวทางปฏิบัติตามคำสั่งควบคุมจุดผ่านแดนไทย–กัมพูชา ดำเนินการเป็นขั้นตอนตามสถานการณ์ในพื้นที่
(7 มิ.ย. 68) จากกรณีที่กองทัพบกได้ออกคำสั่งให้มีการควบคุมจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อรักษาอธิปไตยบูรณภาพแห่งดินแดนและความมั่นคงของชาติ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวมิได้เป็นการใช้มาตรการสูงสุดในทันที แต่เป็นแนวทางปฏิบัติแบบเป็นขั้นตอน โดยพิจารณาจากระดับความรุนแรงของสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ เน้นจากเบาไปหาหนักตามความเหมาะสม โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
ขั้นที่ 1 จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่น ๆ โดยเพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น นักพนัน หรือกลุ่มที่อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย
ขั้นที่ 2 ปรับลดช่วงเวลาในการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน พร้อมทั้งกำหนดวัน–เวลาการเข้า–ออก อย่างชัดเจน เพื่อควบคุมความเคลื่อนไหวของบุคคลและกิจกรรมในพื้นที่ชายแดน
ขั้นที่ 3 ปิดจุดผ่านแดนบางจุด (Selective Closure) โดยพิจารณาจากจุดที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีข้อมูลด้านความมั่นคงที่อาจนำไปสู่การรุกล้ำ หรือการก่อเหตุจากฝ่ายตรงข้าม
ขั้นที่ 4 ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดนในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤต หรือมีการรุกรานอย่างชัดเจน เพื่อควบคุมสถานการณ์ในระดับสูงสุด
โฆษกกองทัพบกย้ำว่า มาตรการดังกล่าวได้มอบอำนาจให้ กองกำลังบูรพา และ กองกำลังสุรนารี เป็นผู้พิจารณากำหนดรายละเอียด หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการปฏิบัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่
โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน และความปลอดภัยของประชาชน
สำหรับประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความมั่นคง เช่น นักศึกษาที่เดินทางไปเรียน ผู้ป่วย ฯลฯ อยู่ในข้อยกเว้นตามประกาศนี้ ซึ่งทางกองกำลังป้องกันชายแดนจะร่วมกับฝ่ายปกครอง
ในพื้นที่ พิจารณาให้สามารถเดินทางผ่านช่องทางได้
กองทัพบกขอให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนมั่นใจว่า การดำเนินการใดๆ จะคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนอย่างรอบคอบ และจะปรับมาตรการให้เหมาะสมตามพัฒนาการของสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
ไทยเรียกร้องกัมพูชาลดระดับความตึงเครียดตลอดแนวชายแดน
(7 มิ.ย. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ร่วมกันแถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า พัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารของทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ฝ่ายไทยมีความจำเป็นต้องป้องกันตนเองและปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศและแนวปฏิบัติสากล หลังเกิดเหตุดังกล่าวฝ่ายไทยอดทนอดกลั้นและแก้ไขด้วยสันติวิธี โดยเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาพยายามลดความตึงเครียดในพื้นที่และจำกัดความขัดแย้งให้อยู่เพียงในจุดเกิดเหตุ โดยมีการพูดคุยหารือในทุกระดับ ทั้งระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกองทัพบกของทั้งสองประเทศ บนพื้นฐานของความสุจริตใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับกัมพูชา ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกับแนวทางแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้วมาโดยตลอด
ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ได้พบหารือกันที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยฝ่ายไทยย้ำถึงความจำเป็นในการลดระดับความตึงเครียดบริเวณชายแดนและเสนอให้มีการปรับกำลังทหารให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเดิมก่อนเกิดเหตุขัดแย้ง เพื่อลดโอกาสการปะทะทางทหาร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ เป็นที่น่าเสียดายว่าฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธข้อเสนอทันที และมีการเสริมกำลังทหารในชายแดนอย่างต่อเนื่อง และปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม MOU 2543 บนพื้นฐานการเจรจาแบบสันติวิธี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความเปราะบาง และตึงเครียดมากยิ่งขึ้น การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการขาดเจตนารมณ์และความจริงใจในความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการลดและระงับความตึงเครียดและทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ
ดังนั้น จึงเป็นไปตามมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 เพื่อเป็นการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนไทยตามแนวชายแดน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องพิจารณาใช้มาตรการควบคุมการเปิด-ปิดจุดแดนไทยกัมพูชา โดยที่ประชุม สมช.ได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองบัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี และตราด และยังมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 กำหนดวิธีที่เหมาะสมในการผ่านแดน ในจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทยและกัมพูชา ซึ่งความเข้มข้นของมาตรการดังกล่าวเป็นไปตามระดับความตึงเครียดของสถานการณ์อันเกิดจากความร่วมมือของฝ่ายกัมพูชาและการแก้ไขปัญหา
ขอย้ำว่าการดำเนินการของไทยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อรักษาความปลอดภัยของทั้งประชาชนไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน ไทยคำนึงและระมัดระวังไม่ให้มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งด้านมนุษยธรรม ทั้งนี้ฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาลดระดับความตึงเครียดตลอดแนวชายแดน ซึ่งจะส่งผลต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย ฝ่ายไทยยืนยันความพร้อมที่จะใช้กลไกทวิภาคีโดยเฉพาะกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ รวมถึงกลไกทวิภาคีอื่นๆ ที่มีอยู่เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติวิธีบนพื้นฐานของความเคารพและความจริงใจต่อกัน เพื่อให้ชายแดนไทยและกัมพูชากลับไปสู่ความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมยืนยันว่า จนถึงขณะนี้การประชุม JBC ยังมีอยู่ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการเจรจาที่จริงใจและเป็นไปตามกำหนดการเดิม
ด้าน พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมมีหน้าที่รับและดำเนินการตามนโยบายของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ผ่านมาไม่ได้ละเลย แต่ได้ใช้ความอดทนและพยายามใช้การเจรจาอย่างสันติวิธี มากไปกว่านั้นยังได้กำชับให้กำลังพลในพื้นที่เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการรุกล้ำเป็นอันขาด แต่กระบวนการที่ผ่านมากลับได้รับการตอบสนองที่ไม่เป็นไปในทางบวก จึงต้องปรับมาตรการ ซึ่งที่ประชุม สมช.ได้มอบหมายให้กองทัพบก เป็นผู้รับผิดชอบนำแผนไปปฏิบัติต่อ
ส่วนทางด้านกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 กองบัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี และตราด ได้มีการอำนวยการให้ ผู้บังคับหมวดทหารในพื้นที่กองกำลังสุรนารี และกองกำลังบูรพา มีอำนาจในการควบคุม เปิด-ปิดจุดผ่านแดน
ซึ่งเพิ่มเติมขั้นตอนการดำเนินการ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต กิจกรรมที่มีบริเวณชายแดน โดยให้แต่ละหน่วยพิจารณาจากระดับความรุนแรงของสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ เน้นจากเบาไปหาหนัก ตามความเหมาะสม แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 จำกัดการผ่านแดนโดยอนุญาตเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น
ขั้นตอนที่ 2 ปรับลดช่วงเวลาในการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน กำหนดวัน–เวลาการเข้า–ออกอย่างชัดเจน
ขั้นตอนที่ 3 ปิดจุดผ่านแดนบางจุดที่มีความเสี่ยงสูง
ขั้นตอนที่ 4 ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดนในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤต
โฆษกกองทัพบก ย้ำว่า มาตรการในเรื่องของการควบคุมเข้มงวดการเปิด-ปิดด่านมีที่มาที่ไปที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของความปลอดภัยของประชาชน อยากจะทำความเข้าใจกับประชาชนว่าในเรื่องของความมั่นคงมีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องพิจารณาเพราะหนึ่งชีวิตคือความสำคัญมาก
แม่ทัพภาคที่ 2 ลงนามคำสั่ง เปิด-ปิด ด่านถาวร-จุดผ่อนปรนการค้า หากกัมพูชาเพิ่มกำลัง เกิดการปะทะชายแดนให้ปิดทันที
(7 มิ.ย. 68) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงนามในคำสั่งกองทัพภาคที่ 2 เรื่อง การควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ตามคำสั่งกองทัพบก เรื่อง การควบคุม การเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภท ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ให้กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังสุรนารี มีอำนาจการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี วิธีการและเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นเหมาะสม ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามที่ได้รับมอบหมายจากกองทัพบก กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังสุรนารี จึงกำหนดมาตรการควบคุมการปิด-เปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในบริเวณพื้นที่ที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี โดยให้ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี มีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้
1. มีอำนาจในการสั่งการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี โดยห้ามมิให้บุคคลหรือยานพาหนะเข้า-ออกผ่านจุดผ่านแดนทุกประเภท การนำเข้าและส่งออกซึ่งสินค้าอุปโภคบริโภคและยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทั้งสองประเทศ (ยกเว้น การค้าขายตามแนวชายแดนหรือด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ หรือด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม) โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
2. มีอำนาจปรับลดเวลาผ่านเข้า-ออกจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี โดยพิจารณาในแต่ละพื้นที่หากมีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น จุดหรือบริเวณที่มีการปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายหรือบริเวณใกล้เคียง ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี
3. มีอำนาจปิดจุดผ่านแดนบางพื้นที่ โดยให้พิจารณาเหตุผลด้านความมั่นคงเป็นสำคัญ ได้แก่ การกดดันฝ่ายที่รุกราน การระมัดระวังป้องกันประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ การป้องกันบุคคลที่ประสงค์ร้ายผ่านเข้า-ออก และรวมถึงการจำกัดคนข้ามไปทำงานในฝั่งประเทศกัมพูชาเพื่อกระทำผิดกฎหมายต่างๆ เป็นต้น
4. เมื่อมีการปะทะหรือใช้กำลังทางทหาร ให้ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี มีอำนาจในการสั่งปิดด่านหรือจุดผ่านแดนในทันที และมีอำนาจในการเปิด เมื่อเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
5. รายละเอียดการเปิด-ปิดจุดผ่านแดน หรือการปรับลดเวลาในการเปิด-ปิดจุดผ่านแดน ให้เป็นไปตามตารางท้ายประกาศฉบับนี้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
ปรับวัน เวลา เปิด-ปิด จุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ดังนี้
1. ช่องอานม้า ต.โซง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ประเภท จุดผ่อนปรนการค้า เปิดวันพฤหัสบดี เวลา 09.00-12.00 น. และการผ่านเข้าออกของคน สิ่งของ ยานพาหนะ ได้แก่
* คนผ่านเข้าออกไม่เกินตลาดของสองประเทศ โดยการแลกบัตร
* สินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็น
* ยานพาหนะ ผ่านไม่ได้
* การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เป็นไปตามระเบียบและหลักสากล
หมายเหตุ: ให้ปิดจุดผ่อนปรนการค้า เมื่อฝ่ายกัมพูชา มีการเพิ่มเติมกำลังเป็นจำนวนมาก กระทบต่อความปลอดภัยและทรัพย์สินของประชาชน
2. ช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จังหวัดอุบลราชธานี ประเภท จุดผ่อนปรนการค้า เปิดวันอังคาร พุธ พฤหัสบดี เวลา 09.00-12.00 น. และการผ่านเข้าออกของคน สิ่งของ ยานพาหนะ ได้แก่
* คนผ่านเข้า-ออกไม่เกินตลาดของสองประเทศ โดยการแลกบัตร
* สินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็น
* ยานพาหนะ ผ่านไม่ได้
* การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เป็นไปตามระเบียบและหลักสากล
หมายเหตุ: ให้ปิดจุดผ่อนปรนการค้า เมื่อมีการปะทะ บริเวณพื้นที่ชายแดน
3. ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ประเภท จุดผ่านแดนถาวร เปิดวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เวลา 08.00-15.00 น. และการผ่านเข้าออกของคน สิ่งของ ยานพาหนะ ได้แก่
* คนผ่านเข้า-ออกโดยใช้ Passport และ Border Pass
* จำกัดการส่งออกสินค้ายุทธภัณฑ์ตามกฎหมาย
* งดการส่งออกสินค้าเพื่อการก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์
* ยานพาหนะ ผ่านได้ตามระเบียบ
* การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เป็นไปตามระเบียบและหลักสากล
หมายเหตุ: ให้ปิดจุดผ่านแดนถาวร เมื่อมีการปะทะ บริเวณพื้นที่ชายแดน
4. ช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ประเภท จุดผ่านแดนถาวร เปิดวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เวลา
08.00-15.00 น. และการผ่านเข้าออกของคน สิ่งของ ยานพาหนะ ได้แก่
* คนผ่านเข้า-ออกโดยใช้ Passport และ Border Pass
* จำกัดการส่งออกสินค้ายุทธภัณฑ์ตามกฎหมาย
* งดการส่งออกสินค้าเพื่อการก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์
* ยานพาหนะ ผ่านได้ตามระเบียบ
* การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เป็นไปตามระเบียบและหลักสากล
หมายเหตุ: ให้งดจำหน่ายกระแสไฟฟ้า เมื่อฝ่ายกัมพูชา มีการเพิ่มเติมกำลังเป็นจำนวนมาก กระทบต่อความปลอดภัย และทรัพย์สินของประชาชน ให้ปิดจุดผ่านแดนถาวร เมื่อมีการปะทะ บริเวณพื้นที่ชายแดน
กกล.บูรพา ส่งหนังสือถึง ผู้ว่าฯ สระแก้ว เปิด-ปิด ด่านเร็วขึ้น
(7 มิ.ย. 68) พลตรี เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา มีหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เรื่อง มาตราการควบคุมจุดผ่านแดนถาวรฯ/จุดผ่อนการค้าฯ ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว โดยระบุว่า กองกำลังบูรพา ในฐานะหน่วยรับผิดชอบพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณจังหวัดสระแก้ว ได้พิจารณาถึงผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนชาวไทยและกัมพูชา ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร จากความตึงเครียดจากสถานการณ์ในขณะนี้ อีกทั้งได้ดำเนินการตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติได้มอบหมายให้กองทัพบก ดำเนินการควบคุมการเปิด – ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จึงกำหนดมาตรการดำเนินการในพื้นที่แนวชายแดน ไทย – กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว ดังนี้
1. จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ ปรับเวลาเปิด-ปิด จากเดิมที่ปฏิบัติปกติของตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว เวลา 06.00-22.00 น. เป็น 08.00-16.00 น. ชาวไทยที่ไปเล่นการพนันและไปท่องเที่ยว ห้ามออกประเทศ ส่วนชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขาย สามารถผ่านเข้า – ออกได้ โดยมีหนังสือเดินทาง หรือ Border Pass เท่านั้น และให้ตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว พิจารณาหนังสือเดินทางหรือ Border Pass จาก 14 วัน เหลือ 7 วัน การส่งผู้ป่วยด้านมนุษยธรรม ให้ผ่านเข้า-ออกได้ โดยพิจารณาจากสำนักงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการทัพภาค 1 เป็นผู้อนุมัติเท่านั้น สำหรับชาวไทยที่ไปทำงานหรือค้าขายในกัมพูชา สามารถออกไปได้ โดยให้ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว พิจารณาหนังสือเดินทาง หรือ Border Pass จาก 14 วัน เหลือ 7 วัน ห้ามรถบรรทุกสินค้าขนาด 6 ล้อขึ้นไปผ่าน ให้ไปใช้การผ่านแดนที่จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา เท่านั้น
2. จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (หนองเอี๋ยน – สตึงบท) อำเภออรัญประเทศ ปรับเวลาเปิด-ปิด จากเดิมที่ปฏิบัติปกติของตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว เวลา 06.00–18.00 น. เป็น 08.00–16.00 น. รถบรรทุกสินค้าขนาด 6 ล้อขึ้นไป ให้ไปใช้การผ่านแดนที่จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา เท่านั้น
3. จุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด ปรับเวลาเปิด-ปิด จากเดิมที่ปฏิบัติปกติของตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว เวลา 06.00–18.00 น. เป็น 08.00–16.00 น. ชาวไทยที่ไปเล่นการพนันและไปท่องเที่ยว ห้ามออกนอกประเทศ ส่วนชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขาย สามารถผ่านเข้า – ออกได้ โดยมีหนังสือเดินทาง หรือ Border Pass เท่านั้น และให้ตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว พิจารณาหนังสือเดินทางหรือ Border Pass จาก 14 วัน เหลือ 7 วัน การส่งผู้ป่วยด้านมนุษยธรรม ให้ผ่านเข้า-ออกได้ โดยพิจารณาจาก สำนักงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการทัพภาค 1 เป็นผู้อนุมัติเท่านั้น สำหรับชาวไทยที่ไปทำงานหรือค้าขายในกัมพูชา สามารถออกไปได้ โดยให้ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว พิจารณาหนังสือเดินทาง หรือ Border Pass จาก 14 วัน เหลือ 7 วัน และห้ามรถบรรทุกสินค้าขนาด 6 ล้อขึ้นไป ผ่านเข้าออก และให้ใช้การผ่านแดนที่ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา เท่านั้น
4. จุดผ่อนปรนการค้าบ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา ปรับเวลาเปิด-ปิด เป็น 08.00–12.00 น. เข้าออกผ่านแดนตามปกติ เน้นคัดกรองคนผ่านเข้า – ออก สามารถอนุญาตหรือไม่อนุญาตผ่านแดน ตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ทหารที่รับผิดชอบพื้นที่ ห้ามรถบรรทุกสินค้าชนาด 6 ล้อขึ้นไปผ่าน ให้ใช้การผ่านแดนที่จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา เท่านั้น
5. จุดผ่อนปรนการค้าบ้านหนองปรือ อำเภออรัญประเทศ ปรับเวลาเปิด-ปิด เป็น 08.00–12.00 น. เข้าออกผ่านแดนตามปกติ เน้นคัดกรองคนผ่านเข้า – ออก สามารถอนุญาตหรือไม่อนุญาตผ่านแดน ตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ทหารที่รับผิดชอบพื้นที่ ห้ามรถบรรทุกสินค้าขนาด 6 ล้อขึ้นไปผ่าน ให้ไปใช้การผ่านแดนที่จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา เท่านั้น
ทั้งนี้ ขอให้ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงจากกองกำลังบูรพา และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับทราบด้วย