สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ณ เวลานี้ ต้องจับตามองไปในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission หรือ JBC) เพื่อเจรจาปัญหาเขตแดนระหว่างกัน โดยจะจัดขึ้นที่กรุงพนมเปญ แม้ท่าทีล่าสุดของกัมพูชา ย้ำว่า จะไม่นำประเด็นปัญหาข้อพิพาทใน 4 พื้นที่ ประกอบด้วย สามเหลี่ยมสระมรกต, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ที่ทอดยาวตามแนวชายแดนกว่า 200 กิโลเมตร เข้าสู่ที่ประชุม JBC แต่จะนำเขาสู่การพิจารณาของศาลโลกแทน แต่ภาพรวมของสถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ หลังจากทั้งสองฝ่ายมีการเจรจากันในระดับเบื้องต้นและนำไปสู่การปรับกำลังไปยังจุดเดิมของตนเองเมื่อปี 2567
“JBC” ถือเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วมและมีคณะอนุกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Sub-Committee: JTSC) ปฏิบัติงานในด้านเทคนิค สนับสนุนการทำงานของ JBC เช่น การวางแผนการสำรวจ การวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคและให้ข้อเสนอแนะต่อ JBC
ทั้งนี้ JBC มีหน้าที่สำคัญหลายประการ ทั้งการพิจารณาการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนว ให้เป็นไปตามสนธิสัญญา แผนที่ปักปัน และหลักฐานอื่นๆ ที่ได้ตกลงกันไว้ทั้งสองฝ่ายและจากข้อมูลตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบัน มีการประชุม JBC แล้ว 10 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย เมื่อปี 2555
การใช้กลไกในเวที JBC ถือเป็นหนึ่งในแนวทางในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทของทั้งสองประเทศและที่ผ่านมาไทยและกัมพูชามีหลายเวทีที่จะลดความตึงเครียดระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee หรือ GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee หรือ RBC) รวมทั้งการใช้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ที่ลงนามในปี พ.ศ. 2543 หรือ “MOU 43”
สำหรับ “คณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา” หรือ JBC เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 มีเป้าประสงค์เพื่อเป็นกลไกหลักในการเจรจาและการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศและจากความร่วมมือดังกล่าว ยังนำไปสู่การการจัดตั้ง GBC และ RBC
โดย “คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย -กัมพูชา” หรือ GBC เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหาร ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมทุกปี โดยจะมีการสลับกันเป็นเจ้าภาพ เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
ส่วน “คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค” หรือ RBC เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับแม่ทัพภาค โดยแบ่งออกเป็น 3 คณะกรรมการ ประกอบด้วย คณะกรรมการชุดที่ 1 “กองทัพภาคที่ 2 ของไทย ร่วมกับ ภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา” โดยจะดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ ประกอบด้วย จ.อุบลราชธานี จ.ศรีสะเกษ จ.สุรินทร์ และ จ.บุรีรัมย์ คณะกรรมการชุดที่ 2 “กองทัพภาคที่ 1 ของไทย ร่วมกับภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา” ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนบน คือ จ.สระแก้ว และคณะกรรมการชุดที่ 3 “กองบัญชาการป้องกันชายแดนด้านจันทบุรีและตราด (กปช. จต.) ของไทย กับภูมิภาคทหารที่ 3 กัมพูชา” จะดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนล่าง ประกอบด้วย จ.จันทบุรี และ จ.ตราด
ขณะที่บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบก ที่ลงนามในปี พ.ศ. 2543 หรือ “MOU 43” ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการแก้ไขปัญหาเขตแดนทางบกระหว่างกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การกำหนดเขตแดนทางบกให้ชัดเจนตลอดแนวโดยไม่เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศทางธรรมชาติ
ทั้งนี้ “MOU 43” มีข้อตกลงจำนวน 9 ข้อ โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่ข้อที่ 1 ข้อที่ 5 และข้อที่ 8
โดยข้อที่ 1 ได้กำหนดให้ร่วมกันสำรวจจัดทำหลักเขตแดนทางบก ให้เป็นไปตามเอกสารอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส และสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง ข้อที่ 5 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐบาล งดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน และข้อที่ 8 กำหนดให้ระงับข้อพิพาทด้วยสันติวิธี ด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา
นับจากอดีตสู่ปัจจุบัน ไทยและกัมพูชา มีกรณีข้อพิพาทอยู่บ่อยครั้งและทุกครั้งไทยจะผลักดันให้ใช้กลไกความร่วมมือที่มีเหล่านี้ เพื่อแก้ปัญหาระหว่างกันมาโดยตลอด และย้ำแนวทางแก้ปัญหาโดยสันติวิธี และจากชนวนเหตุที่เกิดขึ้นที่ “ช่องบก” จ.อุบลราชธานี ขึ้นเมื่อ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา และนำมาสู่การเจรจาบนเวที “JBC” ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ จะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งว่า ทั้งไทยและกัมพูชา จะสามารถใช้เวทีนี้ เจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันได้อย่างสันติวิธี ตามแนวทางที่ไทยผลักดันมาโดยตลอด