นายกฯ เร่งแก้ปัญหา น้ำกินน้ำใช้-ภัยแล้ง “โครงการน้ำบาดาลตามแนวพระราชดำริ”ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี

ติดตามโครงการน้ำบาดาลตามแนวพระราชดำริ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ บ้านปากชัดหนองบัว ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วม

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ชมนิทรรศการการจัดการน้ำบาดาลในพื้นที่และโครงการน้ำบาดาลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมถึงระบบผลิตน้ำบาดาลและจุดบริการน้ำแร่ จากนั้น นายกรัฐมนตรีรับชมวิดิทัศน์การจัดการน้ำบาดาลในพื้นที่และรับฟังรายงานปัญหาภัยแล้งและการจัดหาน้ำบาดาลในพื้นที่ ซึ่งเตรียมโครงการเสนอของบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในหมวดโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ 12 โครงการ จำนวน 3,194 รายการ งบประมาณทั้งสิ้น 14,859 ล้านบาท โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์กว่า 563,239 ครัวเรือน พื้นที่ได้รับประโยชน์กว่า 134,620 ไร่ และจะเกิดการจ้างงาน 29,214 คน รวมถึงเพิ่มปริมาณน้ำได้ถึง 211.46 ลูกบาศก์เมตรต่อปี

นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวรายงานภาพรวมของจังหวัดว่า มีประชากรกว่า 9 แสนคน มีรายได้ 1.5 แสนบาท/คน/ปี ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวมาเยือนจำนวน 14 ล้านคน รายได้จากการท่องเที่ยว 3.6 หมื่นล้านบาท จังหวัดกาญจนบุรีมีเขื่อนใหญ่ 2 แห่ง คือเขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ทั้ง 2 เขื่อนมีความจุ 2.6 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร มีเขื่อนแม่กลองเพื่อทดน้ำ แต่ในพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร มีพื้นที่แล้งซ้ำซาก 5 อำเภอ ได้แก่ เลาขวัญ บ่อพลอย หนองปรือ ห้วยกระเจา และพนมทวน เนื่องจากสภาพพื้นที่ไม่สามารถใช้น้ำจากแหล่งน้ำขนาดใหญ่ได้ และเป็นพื้นที่อับฝน พื้นที่อยู่สูงกว่าระบบส่งน้ำ ทำให้ไม่สามารถใช้น้ำในระบบชลประทานได้ ซึ่งมีการจัดสร้างสถานีสูบน้ำโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่ อันเนื่องมาจากโครงการพระราชดำริ ในปี พ.ศ. 2564 เป็นการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่แห้งแล้ง สถานีสูบน้ำ ระบบส่งน้ำ จำนวน 10 แห่ง และก่อสร้างฝายทดน้ำ จำนวน 22 แห่ง ของงบประมาณปี 2564-2568 และโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ก่อสร้างระบบกระจายน้ำ วางท่อกระจายน้ำส่งน้ำบาดาลให้ครอบคลุมพื้นที่ อำเภอเลาขวัญและห้วยกระเจา โดยกรมชลประทานยังได้จัดทำ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการอุโมงค์ผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2570 คาดจะช่วยเหลือประชาชนได้กว่า 5.3 หมื่นครัวเรือน และ โครงการขยายความจุอ่างเก็บน้ำลำอีซู อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดจะเริ่มก่อสร้างปี 2569-2572 เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถช่วยประชาชนได้กว่า 1.1 พันครัวเรือน  

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสเดินทางมาที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มีความสำคัญในการช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จากข้อมูลโครงการสามารถช่วยเหลือประชาชนได้เกือบ 100,000 ครัวเรือน ถือเป็นตัวเลขที่น่าชื่นชมและสะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของโครงการฯ ได้อย่างทั่วถึง เป็นหนึ่งในโครงการตามแนวพระราชดำริ ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่อง “น้ำ” หนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้พื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ สามารถลดต้นทุนในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำอุปโภคบริโภค หรือต้นทุนทางการเกษตร นับว่าเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า สำหรับงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านทรัพยากรน้ำ เนื่องจากเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับประชาชนทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว ไม่ใช่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนในอนาคต และรัฐบาลพร้อมสนับสนุนโครงการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสามารถขยายผลไปยังพื้นที่ใกล้เคียงและจังหวัดอื่นๆ ได้รับประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนในทุกภูมิภาคของประเทศอย่างยั่งยืน จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้พบปะประชาชนและมอบตัวอย่างบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่น้ำ แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี สำหรับนำไปแจกจ่ายแก่ประชาชนที่มาร่วมงานฯ

นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมโครงการฯ และผลิตภัณฑ์ OTOP ณ โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระยะที่ 2 บ้านหนองบัวหิ่ง ตำบลสระลงเรือ อำเภอห้วยกระเจา พร้อมรับฟังรายงานโครงการฯ ที่สร้างประโยชน์แก่ประชาชน 15 หมู่บ้าน ครอบคลุมประมาณ 3,000 ครัวเรือน หรือราว 10,000 คน โดยภาพรวมการบริหารจัดการดำเนินไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อเสนอบางประการที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม ได้แก่ 1.ต้นทุนค่าไฟฟ้าในการสูบน้ำ ปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน เป็นภาระต่อการดำเนินงานในระยะยาว โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวทางลดค่าใช้จ่ายผ่านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในบางส่วน 2.ความเสี่ยงจากการลดระดับน้ำบาดาล หากไม่มีการบริหารจัดการการใช้น้ำอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้ระดับน้ำบาดาลลดลงในอนาคต ดังนั้นเพื่อรองรับปัญหาเหล่านี้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้เตรียมแนวทางเสริมความยั่งยืน โดยจะติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติม จำนวน 4 ชุด รวมถึงติดตั้งระบบสูบน้ำบาดาลเพิ่มอีก 4 จุด และดำเนินการสำรวจพื้นที่เพื่อรองรับการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เนื่องจากพื้นที่นี้มีแหล่งน้ำบาดาลจำกัดและยากต่อการเจาะหาแหล่งน้ำใหม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำถึงความสำคัญของน้ำที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต และยังเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตและการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชนและประเทศ ดังนั้น การพัฒนาแหล่งน้ำ ถือเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลต้องให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และชื่นชมการดำเนินการโครงการจัดหาน้ำบาดาลในพื้นที่ ซึ่งมีคุณภาพจนชาวบ้านเรียกว่าเป็น “น้ำเทวดา” ถือเป็นน้ำที่ได้จากธรรมชาติบริสุทธิ์อย่างแท้จริง แม้ตั้งอยู่บนที่ดินของเอกชน ซึ่งเจ้าของที่ดินได้แสดงน้ำใจโดยการขายที่ดินให้รัฐในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้ภาครัฐสามารถดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้างได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อส่วนรวม และขอชื่นชมในความเสียสละและจิตสาธารณะของเจ้าของที่ดินและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักดีว่าการดำเนินงานให้มีความยั่งยืน จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องต้นทุนด้านพลังงานควบคู่กัน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าสำหรับการสูบน้ำ มีแนวโน้มสูงขึ้นและเป็นภาระของชุมชนในระยะยาว โดยได้อนุมัติงบประมาณผ่านกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของชุมชน และเสริมสร้างความยั่งยืนของโครงการน้ำบาดาลในพื้นที่ และคาดว่าระบบพลังงานทางเลือกดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการได้ในอนาคตอันใกล้นี้

รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นน้ำ อาหาร ยารักษาโรค หรือที่อยู่อาศัย และจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงสิ่งจำเป็นเหล่านี้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ

นายกรัฐมนตรี โพสต์ x ระบุว่า การจัดการน้ำ โครงสร้างพื้นฐานใหญ่ของประเทศที่ต้องถูกจัดสรรให้เพียงพอ ทั้งต่อภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งระบบประปาที่ยังไม่ทั่วถึงและไม่เพียงพอ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้าผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหา โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ที่บ้านปากชัดหนองบัว อ.เลาขวัญ​ และ บ้านหนองบัวหิ่ง อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นโครงการแบบอย่างที่ดีของการบริหารจัดการน้ำภายใต้แนวพระราชดำริ ที่คำนึงถึงสภาพพื้นที่และความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งระบบสูบน้ำ ถังเก็บน้ำ จุดจ่ายน้ำ ระบบท่อกระจายน้ำ หรือการทำธนาคารน้ำใต้ดิน (เพื่อให้ชั้นหินอุ้มน้ำไว้ในช่วงหน้าฝนและนำออกมาใช้ในยามที่ต้องการ ทั้งช่วยลดปัญหาการทรุดตัวของดินและทำให้มีปริมาณน้ำใต้ดินเพิ่มมากขึ้น) เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงน้ำสะอาดได้อย่างเพียงพอและยั่งยืน หรือการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ร่วมกับระบบสูบน้ำ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งทั้ง 15 โครงการ ในพื้นที่ 11 จังหวัดไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยผลจากโครงการดังกล่าวทำให้ปีนี้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ได้รับประโยชน์ จำนวนกว่า 16,000 คน หรือเกือบ 5,000 ครัวเรือน ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำอุปโภคบริโภคไปได้มาก ลดค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือน 2,000 บาท/เดือน ในทางการเกษตรกรรม สามารถเพิ่มปริมาณน้ำสูงสุดที่สามารถผลิตได้ 6,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือ 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ส่งผลให้มีพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับประโยชน์กว่า 1,000 ไร่ และรัฐบาลได้รับสนอง  แนวพระราชดำริ ขยายโครงการไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ พร้อมไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพระบบพลังงานและเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต ควบคู่ไปกับการรักษาสมดุลของแหล่งน้ำบาดาลในระยะยาว ทั้งหมดนี้นับเป็นโจทย์ของรัฐบาลที่จะต้องสนับสนุน และร่วมขับเคลื่อนโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

โดยในระยะสั้นนี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลงไปช่วยบรรเทาปัญหา จัดทำโครงสร้างพื้นฐานเรื่องการบริหารจัดการน้ำและยกระดับคุณภาพให้ทั่วถึงและดีขึ้นในทุกพื้นที่ เพราะเรื่องน้ำไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นเรื่องของความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลให้ดีที่สุด

ทั้งนี้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2563 – ปัจจุบัน จำนวนทั้งสิ้น 818 แห่ง ทั่วประเทศ ครอบคลุม 643 ตำบล 380 อำเภอ 74 จังหวัด ประชาชนได้รับประโยชน์ 163,000 ครัวเรือนต่อปี  ส่วนโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร (ขนาดใหญ่) ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 ปัจจุบัน จำนวนทั้งสิ้น 616 แห่ง ประชาชนได้รับประโยชน์ 8,968 ครัวเรือน และมีพื้นที่ได้รับประโยชน์รวม 256,508 ไร่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง